ในอดีตกาล เมื่อสี่อสงไขยแสนกัป มีพระนครหนึ่งชื่อว่า อะมะระนคร เป็นนครที่สวยงาม น่ารื่นรมย์ ไม่ว่างจากเสียง ๑๐ ประการคือ เสียงประกาศให้มานำเอาข้าว เอาของไป เสียงช้าง เสียงม้า เสียงรถ เสียงร้องเพลง เสียงกลอง เสียงปี่ เสียงพิณ เสียงสังข์ และเสียงเชิญให้มากิน มาดื่ม เป็นนครที่พร้อมไปด้วยรัตนะ ๗ ประการ คือ จักรแก้ว แก้วมณี นางแก้ว นายกแก้ว คฤหบดีแก้ว ช้างแก้ว และม้าแก้ว คับคั่งไปด้วยหมู่คน เป็นที่อยู่ของผู้มีบุญ เป็นนครที่สมบูรณ์ และสุขสำราญเหมือนเทพนคร

 

ราเป็นพราหมณ์มหาศาล อยู่ในเมืองนี้ เรามีทรัพย์สมบัติหลายร้อยโกฏิ มีข้าวของ เงินทองมากมาย เรารู้จบมนต์ รู้จบคัมภีร์ไตรเพท คัมภีร์อิติหาสะ และรู้ตำราทำนายลักษณะ วันหนึ่งเรานั่งอยู่ในที่สงบสงัดแล้วมีความคิดขึ้นมาว่า “การเกิดและการตายเป็นทุกข์ เราจะแสวงหาความดับอันไม่แก่ ไม่ตาย ปลอดภัย ไม่ต้องเจ็บไข้ เราจะไม่มีความห่วงใย ไม่ต้องการสิ่งใดๆ ละทิ้งร่างกายอันเน่าเปื่อย เต็มไปด้วยซากศพนี้ไปเสียเถิด ทางที่ใครๆ ไม่อาจจะไปได้ เพราะไม่มีเหตุ ต้องมีแน่ เราจะแสวงหาทางเพื่อหลุดพ้นไปจากภพ…” ครั้นเราคิดอย่างนี้แล้ว ได้ให้ทรัพย์หลายร้อยโกฏิ แก่คนไม่มีที่พึ่ง และคนอนาถา แล้วเข้าไปยังภูเขาหิมวันต์ (หิมาลัย) ในที่ไม่ไกลกันนั้น มีภูเขาลูกหนึ่งชื่อ ธรรมิกะ เราสร้างอาศรมอย่างดี สร้างที่เดินจงกรม อาศัยอยู่โคนต้นไม้อันมีคุณ ๑๐ ประการคือ

 

๑. มีความยุ่งยากน้อย   ๖. ไม่เป็นของต้องหวงแหน

 

๒. เพียงเข้าไป ก็อยู่ได้   ๗. ไม่ต้องอาลัย

 

๓. ไม่ต้องดูแลรักษา   ๘. ไม่ต้องคอยพูดว่าเราเป็นผู้ปัดกวาด ท่านจงออกไป

 

๔. จะทำชั่วย่อมละอาย เพราะไม่มีที่บัง   ๙. ได้ปีติ

 

๕. มีความปลอดโปร่งไม่อึดอัด   ๑๐. หาได้ง่าย
 
เราทิ้งผ้าที่สวยงาม ราคาแพง ประกอบด้วยโทษเป็นอันมาก มาใช้ผ้าเปลือกไม้ ที่ได้จากการเอาใบหญ้ามาถัก มาสานกัน เราละทิ้งการเพาะปลูก การหว่านการไถ แล้วเก็บเอาผลไม้ที่หล่นเองมาบริโภค เรามาบำเพ็ญเพียรอยู่ ๗ วัน ก็บรรลุอภิญญา ๕ คือ ๑. แสดงฤทธิ์ได้ ๒.หูทิพย์ ๓. ตาทิพย์ ๔.ระลึกชาติได้ ๕. รู้วาระจิตของผู้อื่น เราถึงความสำเร็จแห่งความเพียร มีความเย็นใจ มีความสุขจากการบวช คือไม่ต้องห่วงไม่ต้องอาลัยในสิ่งใดๆ ไม่มีภาระรับผิดชอบใดๆ ไม่เบียดเบียนใคร และไม่มีใครมาเบียดเบียนเรา ครั้งนั้นพระพิชิตมารผู้เป็นนายกของโลก พระนามว่า ทีปังกะระ เสด็จอุบัติขึ้น พระองค์ทรงตรัสรู้ ทรงแสดงปฐมเทศนา เราผู้เปี่ยมด้วยความยินดีในฌาน ไม่ได้เห็นนิมิตนั้น ชนทั้งหลายทูลนิมนต์พระองค์ ณ ที่ประทับในปัจจันตะประเทศ ช่วยกันถากถางหนทาง เพื่อการเสด็จดำเนินมาของพระองค์ เราออกจากอาศรม สลัดผ้าเปลือกไม้เหาะขึ้นไปบนอากาศ ได้เห็นหมู่ชนยินดี ร่าเริง เบิกบานใจ จึงลงจากอากาศ ถามพวกมนุษย์ทั้งหลายว่า “ท่านทั้งหลายกำลังทำหนทางเพื่อใคร ?” ชนเหล่านั้น บอกว่า “พระพุทธเจ้าผู้เป็นนายกยอดเยี่ยมของโลก พระนามว่า ทีปังกะระ เสด็จอุบัติขึ้นแล้วในโลก พวกเราช่วยกันทำทางเพื่อพระองค์” ขณะนั้นปีติเกิดขึ้นแก่เรา เมื่อได้ยินคำว่า “พระพุทธเจ้า” เราจึงกล่าวประกาศความดีใจว่า “พระพุทธเจ้าๆ” เราทั้งยินดี ทั้งสลดใจ ยืนคิดว่า “เราจะปลูกพืชคือบุญลงในที่นี้ โอกาสอย่าได้ผ่านไปเสียเลย” แล้วขอแบ่งที่เพื่อช่วยทำบ้าง ชนเหล่านั้น ได้ให้ที่ๆ เป็นโคลนตมแก่เรา เมื่อเราทำยังไม่ทันเสร็จ พระมหามุนี ทีปังกะระ กับพระอะระหันต์สี่แสน ผู้ได้อภิญญา ๖ ผู้คงที่ปราศจากมลทินก็เสด็จมาถึง มหาชนทั้งหลาย ต่างต้อนรับด้วยการประโคมกลองเภรี และเครื่องดนตรีทั้งหลาย มนุษย์และเทวดาต่างเบิกบานใจ เปล่งเสียงสาธุการ เทวดาและมนุษย์ต่างเห็นกัน พากันประนมมือเดินตาม พวกเทวดาประโคมเครื่องดนตรีทิพย์ พวกเทวดาที่อยู่บนอากาศก็พากันโปรยดอกไม้ทิพย์ และของหอมลงมายังทิศน้อยใหญ่
 
ครั้งนั้นพระนางยโสธราพิมพา เกิดเป็นหญิงสาวนามว่า สุมิตตา ถือดอกบัวไป ๘ กำ เพื่อบูชาพระศาสดา เห็นพระฤาษีสุเมธะมีกิจอันงาม นางเลื่อมใสศรัทธา จึงถวายดอกบัว ๕ กำ แก่พระฤาษี เหลือไว้ ๓ กำ พระฤาษีรับดอกบัวแล้วบูชาพระพุทธเจ้า แล้วสยายผม เอาผ้าห่มเปลือกไม้ปูลงพื้นโคลนนอนคว่ำลงคิดว่า “พระพุทธเจ้าพร้อมทั้งพระสาวกจงทรงเหยียบเราเสด็จไปเถิด อย่าทรงเหยียบโคลนตมเลย อันจะเป็นประโยชน์แก่เรา วันนี้พระพุทธเจ้าจะทรงเผากิเลสของเรา ประโยชน์อะไรแก่เราที่ใครๆ ไม่รู้จัก เราจะบรรลุสัพพัญญุตญาณหลุดพ้นแล้ว จะเปลื้องหมู่สัตว์ให้พ้นจากกองทุกข์เถิด ประโยชน์อะไรที่เราผู้มีเรี่ยวแรงจะไปแต่ผู้เดียว” แล้วพระฤาษีได้กล่าวสัจจะวาจาปรารถนาการบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคต เบื้องพระพักตร์ พระพุทธเจ้าทีปังกะระ พระศาสดารับดอกบัว ๕ กำจากมือพระฤาษี แล้วทรงประทับยืนอยู่บนศรีษะของพระฤาษี ตรัสว่า “ท่านทั้งหลายจงดูฤาษีผู้มีตบะแก่กล้านี้ เขาจะได้เป็นพุทธเจ้าพระนามว่า โคตะมะ ในกัปอันนับมิได้ นับแต่กัปนี้…”
 
นางสุมิตตาถวายดอกบัว ๓ กำ แก่พระศาสดา แล้วพระองค์ทรงตรัสพยากรณ์ว่า “ดูก่อนฤาษีผู้ยิ่งใหญ่ อุบาสิกาผู้งามพร้อม น่าดูน่าชม น่ารักยิ่ง วาจาอ่อนหวาน จะเป็นผู้มีจิตเสมอกัน มีกุศลกรรม จะทำกุศลกรรมเพื่อประโยชน์แก่ท่าน จะเป็นธรรมทายาทผู้มีฤทธิ์ของท่าน ประชาชนจะอนุเคราะห์อุบาสิกาผู้เป็นที่รักของท่านนี้ อุบาสิกานี้จะมีบารมีเต็ม จะละกิเลสได้ดังราชสีห์ละกรง แล้วบรรลุโพธิญาณในกัปอันประมาณมิได้นับแต่กัปนี้”
 
มนุษย์และเทวดาจากหมื่นจักรวาลได้ฟังพระพุทธดำรัสนั้นแล้ว ต่างก็เปล่งเสียงโห่ร้องปรบมือ ร่าเริง ประนมมืออัญชลีถวายนมัสการ พระพุทธเจ้าทีปังกะระ ทรงประกาศกรรมของพระฤาษี และนางสุมิตตา แล้วทรงยกพระบาทขวาขึ้นเหยียบหลังของพระฤาษีดำเนินไป พระสาวกของพระองค์ ได้ทำประทักษิณ เดินเวียนรอบพระฤาษี ๓ รอบ แล้วเหยียบหลังพระฤาษีไปทุกองค์ มนุษย์ เทวดา อสูร ยักษ์ ทั้งหลายอภิวาทพระฤาษีแล้วพากันกลับไป จากนั้นพระฤาษีลุกขึ้นนั่งสมาธิ เพื่อค้นหาธรรมะอันเป็นไปเพื่อบรรลุโพธิญาณ ก็ได้พบบารมี ๑๐ ประการ คือ ทาน, ศีล, ออกจากเรือน, ปัญญา, ความเพียร, ขันติ, สัจจะ, อธิษฐาน, เมตตา และการวางเฉย เมื่อพระฤาษีสุเมธะ พบบารมี ๑๐ ประการดังนี้แล้ว พื้นแผ่นดินทั้งหมื่นจักรวาล หวั่นไหวใหญ่ สะเทือนสะท้านส่งเสียงร้อง แล้วพระฤาษีกลับสู่ป่าหิมวันต์.
 
( ทีปังกะระพุทธวงศ์ พระไตรปิฎก เล่ม ๓๓ หน้า ๓๕๓ )
 

 




หน้าแรก I ประวัติหลวงพ่อเกษตร I วัดเขาหินเทิน I ธรรมะโดยหลวงพ่อเกษตร I กระดานกระทู้ธรรม l ติดต่อกับเรา
Copyright © 2003  Wat Khaohinturn All rights reserved
Designed & Managed by : flmonline.net