|
|
|
|
ในกาลแห่งพระวิปัสสีทศพล
มีพราหมณ์ชื่อ มหาเอกะสาฏะกะ ในบัดนี้พราหมณ์ได้มาเป็นพราหมณ์
ชื่อ จูเฬกะสาฏะกะ อยู่ในเมืองสาวัตถี พราหมณ์
และพราหมณี เป็นพราหมณ์ที่ยากจน ทั้งสองคน มีผ้านุ่งคนละผืน
ส่วนผ้าห่มนั้นทั้ง ๒ คน มีผืนเดียว ต้องใช้ร่วมกัน
เมื่อเวลาจะออกไปนอกบ้านใครคนใดคนหนึ่งย่อมห่มผ้าผืนนั้นแล้วออกไปคนเดียว
วันหนึ่งมีประกาศการแสดงธรรมะในพระวิหารเชตวัน
ทั้งสองคนตกลงกันไว้ว่า นางพราหมณีจะไปฟังกลางวัน
ส่วนพราหมณ์สามีจะไปฟังกลางคืน
|
|
ในคืนนั้นพราหมณ์ไปนั่งฟังธรรมะหน้าพระพักตร์พระศาสดา
ปีติทั้งหลายเกิดขึ้น ซาบซ่านทั่วสรีระของพราหมณ์คิดจะถวายผ้าห่มซึ่งเป็นสมบัติชิ้นเดียวบูชาพระธรรมะเทศนา
เมื่อจะถวายก็เกรงว่าภรรยาจะไม่มีผ้าห่ม จิตตระหนี่พันดวงเกิดขึ้นแก่เขา
แล้วจิตสัทธาดวงเดียวเกิดขึ้นอีก แต่แล้วจิตตระหนี่พันดวงก็เกิดขึ้นครอบงำสัทธาอีก
ความตระหนี่อันมีกำลังของเขาคอยกีดกันสัทธาไว้เหมือนถูกจับมัดทีเดียว |
|
เขาได้แต่คิดว่า
จะถวาย จะไม่ถวาย จนเวลาปฐมยามผ่านไป
ยามกลางแห่งราตรีผ่านไป จนถึงยามปลายแห่งราตรี
เขาคิดว่า เรารบกับสัทธา และตระหนี่
อยู่จน ๒ ยามล่วงไปแล้ว ความตระหนี่ขนาดนี้จะไม่ทำให้เราพ้นจากอบายภูมิทั้ง
๔ เราจะถวายผ้าห่มละ เขาข่มความตระหนี่ตั้งพันดวงได้แล้ว
ทำจิตสัทธาให้มั่น ถือผ้าห่มไปวางแทบบาทมูลพระศาสดา
แล้วเปล่งเสียงดังว่า เราชนะแล้วๆ |
|
ขณะนั้น
พระเจ้าปเสนทิโกศลกำลังฟังธรรมะ ได้สดับเสียงนั้นแล้วตรัสกับคนรับใช้ว่า
ท่านจงไปถามพราหมณ์นั้นดูซิว่า เขาชนะอะไร
? เมื่อพระราชาทรงทราบเนื้อความแล้ว
ทรงดำริว่า พราหมณ์ทำสิ่งที่คนทำได้ยาก
เราจะสงเคราะห์เขา จึงรับสั่งให้พระราชทานผ้าห่ม
1 คู่ แก่พราหมณ์ เขาได้รับแล้วก็ถวายแก่พระศาสดา
พระราชาก็รับสั่งให้พระราชทานเป็นทวีคูณอีก คือ
๒ คู่ , ๔ คู่, ๘ คู่, ๑๖ คู่ เขาก็ถวายแก่พระศาสดาอีก
พระราชาได้รับสั่งให้พระราชทานผ้าห่ม ๓๒ คู่ แก่เขา
เพื่อจะป้องกันคำติเตียนว่า ไม่เอาไว้เพื่อตนเสียเลย
สละผ้าที่ได้เสียสิ้น จึงเอาผ้าห่ม
๒ ผืน จาก ๓๒ คู่นั้นไว้เพื่อตน ๑ คู่ แล้วถวายผ้าห่ม
๓๐ คู่แก่พระศาสดา พระราชา เมื่อพราหมณ์ถวายถึง
๗ ครั้ง ได้มีพระราชประสงค์จะพระราชทานอีก พราหมณ์มหาเอกะสาฏะกะ
ในกาลก่อนได้เอาผ้า ๒ คู่ จากจำนวนผ้าห่ม ๖๔ คู่ |
|
พระราชาพระราชทานผ้าขนสัตว์
๒ ผืน มีค่าแสนหนึ่งแก่เขา เขาคิดว่า
ผ้าขนสัตว์เหล่านี้ไม่สมควรแก่เรา แต่สมควรแก่พระศาสดาเท่านั้น
จึงได้นำผ้าขนสัตว์ผืนหนึ่งทำเป็นเพดานบนที่บรรทมของพระองค์ในพระคันธะกุฎี
อีกผืนหนึ่งทำเป็นเพดานในที่ฉันภัตตาหารของพระภิกษุที่มาฉันเป็นนิตย์ในเรือนตน
ในเวลาเย็นพระราชาเสด็จเข้าเฝ้าพระศาสดา ทรงเห็นว่าผ้าขนสัตว์ที่ขึงเป็นเพดานไว้
จึงทูลถามพระศาสดาว่า ใครถวายพระเจ้าข้า
? พระศาสดาตรัสตอบว่า พราหมณ์จูเฬกะสาฏะกะ
พระราชาทรงดำริว่า พราหมณ์เลื่อมใสในฐานะที่เราเลื่อมใสเหมือนกัน
จึงมีรับสั่งให้พระราชทานวัตถุ ๑๐๐
อย่างๆ ละ ๔ แก่พราหมณ์ คือ ช้าง ๔, ม้า ๔, เงิน
๔,๐๐๐ กหาปณะ, สตรี ๔, ทาสหญิง ๔, ทาสชาย ๔, บ้าน
๔ ตำบล เป็นต้น |
|
พระภิกษุทั้งหลาย
สนทนากันในโรงธรรมะว่า ผลกรรมของพราหมณ์นี้น่าอัศจรรย์
ชั่วครูเดียวเขาได้วัตถุทุกอย่างๆ ละ ๔ กรรมอันงาม
เขาทำในเนื้อนาบุญในบัดนี้ ให้ผลในวันนี้ทีเดียว
พระศาสดาเสด็จมา ได้ตรัสถามเรื่องที่พระภิกษุกำลังสนทนากัน
แล้วได้ตรัสว่า ถ้าพราหมณ์นี้ถวายผ้าห่มแก่เราในยามแรกของราตรี
เขาจะได้สรรพวัตถุอย่างละ ๑๖, ถ้าถวายในยามกลางของราตรี
เขาจะได้สรรพวัตถุอย่างละ ๘ แต่เพราะเขาถวายในเวลาใกล้รุ่ง
เขาจึงได้สรรพวัตถุอย่างละ ๔ กรรมอันงามเมื่อจะทำ
เพื่อไม่ให้เสื่อมไปเสีย ควรรีบทำในทันที ด้วยว่ากุศลทำช้า
เมื่อให้ผลย่อมให้ช้า ดังนั้นควรทำกุศลในขณะที่ความคิดนั้นเกิดขึ้นทันที
แล้วพระองค์ได้ตรัสพระคาถาว่า.... |
|
บุคคลควรรีบขวนขวายทำความดี จงห้ามจิตเสียจากบาป
เพราะเมื่อทำความดีช้า ใจจะยินดีในบาป |
|
เมื่อจบพระคาถา
ชนเป็นอันมากบรรลุอริยะผลทั้งหลายมีโสดาบันเป็นต้น |
|
(อรรถกถาธรรมบท)
|