สมัยหนึ่งพระพุทธเจ้าประทับอยู่  ณ.พระวิหารเชตวัน เมืองสาวัตถี ครั้งนั้นเกิดมี ข้าศึกศัตรูมาประชิดชายแดนของ
 ของพระเจ้าปเสนทิโกศล พระองค์จึงส่งสันตติมหาอำมาตย์ยกกองทัพไปปราบ เขาสามารถปราบข้าศึกได้โดยเรียบร้อยแล้วยกกองทัพกลับมา

    พระราชาทรงพอพระหฤทัย ได้พระราชทานราชสมบัติให้เขาครอบครอง ๗ วัน และได้พระราชทาน ราชสมบัติให้เขาครอบครอง ๗ วัน และได้พระราชทาน นาง
หญิงนักร้องนักเต้นรำงามเลิศนางหนึ่งให้บำเรอเขา สันตติมหาอำมาตย์พร้อมทั้ง
บริวาลฉลองความสำเร็จด้วยการกิน การดื่ม การเต้นรำอย่างสนุกสนาน เขาเมาสุรา
ตลอด 6วัน   ในเช้าวันที่ ๗ เขาประดับร่างกายด้วยเครื่องอลังการทั้งปวง แล้วขึ้นคอ
เชือกประเสริฐไปสู่ท่าน้ำ เพื่ออาบน้ำในแม่น้ำในแม่น้ำพร้อมทั้งบริวารอันยิ่งใหญ่ ขณะนั้นพระพุทธเจ้า พร้อมทั้งพระภิกษุสงฆ์จำนวนมากเสด็จบิณฑบาตอยู่ระหว่าง
ประตูเมืองสารวัตถี เขาเห็นพระองค์แล้วก้มศีรษะถวายบังคม

        พระศาสดาทรงยิ้มรับเขา พระอานันทะเห็นเช่นนั้นจึงกราบทูลถามว่า   "พระพุทธเจ้าข้า พระองค์ทรงยิ้มด้วยเหตุอันใด” พระองค์ทรงตรัสว่า “อานันทะ เธอจงดู สันตติมหาอำมาตย์ผู้ประดับด้วยเครื่องอลังการงามสง่านั่นสิ วันนี้เขาจะมาหาเรา จะบรรลุอะระหันต์ในขณะที่
พระคาถาบทเดียว แล้วนั่งบนอากาศสูง ๗ ชั่วต้นตาลปรินิพพาน” มหาชนทั้งหลายได้ฟังพระศาสดาตรัสกับพระเถระ แล้ว พวกมิจฉาทิฐิพากันกล่าวว่า

  “ท่านทั้งหลาย จงดูสะมะณะโคตะมะพูดพล่อยๆซิ ก็วันนี้สันตติมหาอำมาตย์นั้นกำลังเมา ทั้งยังประดับประดาร่างกายจนเลิศหรู ฟังพระคาถาของพระองค์แล้วจะปรินิพพาน ! วันนี้พวกเราจงคอยจับผิดสะมะณะโคตะมะด้วยคำมุสา !!” ส่วนพวกสัมมาทิฐิพากันพูดว่า “น่าอัศจรรย์จริง...พระพุทธเจ้าทั้งหลายมีอานุภาพมาก วันนี้พวกเราทั้งหลายจะได้เห็นลีลาของพระพุทธเจ้า และลีลาของสันตติมหาอำมาตย์ !”  ขณะนั้นสันตติมหาอำมาตย์อาบน้ำที่ท่าน้ำแล้วขึ้นสู่อุทยาน สนุกสนานกับการกินการดื่ม การเต้นรำกับบริวารต่อไป
 

       หญิงบำเรอผู้มีเรือนร่างอรชรอ่อนแอ้นก็เต้นรำขับกล่อมเขา ด้วยความเหน็ดเหนื่อยกับการเต้นรำบำเรอมาตลอด ๗ วัน และเพราะการควบคุมอาหารเพื่อรักษาทรวดทรงให้งามระหง ก็เป็นลมล้มลง อ้าปากค้าง ตาเหลือก สิ้นใจตาย สันตติมหาอำมาตย์ตกใจร้องขึ้นว่า “ท่านทั้งหลาย นางเป็นอะไรนั่น !” คนทั้งหลายกล่าวว่า “นางตายแล้วนาย !” เขาเศร้าโศกเสียใจอย่างแรง ที่เมาสุรามาตลอด ๗ วันก็สร่างเมา ดุจหยดน้ำบนกระเบื้องร้อน เขาคิดว่า “คนอื่นนอกจากพระตถาคะตะเสีย ไม่มีใครที่จะทำความเศร้าโศกของเราให้ดับได้” เขาจึงเข้าเฝ้าพระศาสดาในเวลาเย็นพร้อมทั้งบริวาร ถวายบังคมพระองค์แล้วนั่งทูลเล่าให้พระองค์ทรงสดับและทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ความโศกปานนี้เกิดแก่ข้าพระองค์ ขอพระองค์จงทรงเป็นที่พึ่งแก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด” พระศาสดาตรัสว่า “อย่าโศกไปเลยสันตติ... เธอมาหาเรานี้เป็นการมาดีแล้ว เราสามารถดับความเศร้าโศกของเธอได้แน่นอน” พระองค์ทรงตรัสว่า....
“ดูก่อนสันตติ... ตลอดวัฏฏะสังสาระอันยาวนานที่เธอเวียนว่ายตายเกิด แล้วเธอได้พบหญิงนางนั้น หล่อนก็ตายด้วยอาการอย่างนั้น น้ำตาที่หลั่งไหลเพราะร้องให้ถึงนางชาติแล้วชาติเล่า รวมๆกันแล้วมากกว่าน้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ (ทั้งโลก) น้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ ไม่ได้มากกว่าน้ำตาของเธอเลย ควรหรือยังที่เธอจะเบื่อหน่าย ควรหรือยังที่เธอจะคลายกำหนัด ควรหรือยังที่จะพ้นไปเสียจากสังขารทั้งปวง?”
“สันตติเอย วัฏฏะสังสาระอันยาวนาน หาที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นเครื่องกางกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ ย่อมท่องเที่ยวเวียนเกิดเวียนตายอยู่ หาที่สุดเบื้องต้นไม่ปรากฏ....”
พระองค์ทรงตรัสพระคาถาว่า.....

 

 
“กิเลสเครื่องกังวลใจในกาลก่อนเธอจงกำจัดให้เหือดแห้งไป กิเลสเครื่องกังวลใจจงอย่ามีแก่เธอในภายหลัง ถ้าเธอจะไม่ยึดถือขันธ์ในท่ามกลาง เธอจะเป็นผู้สงบเที่ยวไป”

เมื่อจบพระคาถา สันตติมหาอำมาตย์ก็บรรลุอะระหันต์ ท่านพิจารณาดูอายุสังขารของตนเองทราบว่าหมดอายุแล้ว จึงกราบทูลลาพระพุทธเจ้าปรินิพพาน พระพุทธเจ้าทรงเห็นเป็นโอกาสที่จะกระทำความกระจ่างแจ้งแก่มหาชนพวกมิจฉาทิฐิและสัมมาทิฐิ ที่มาประชุมกันแล้วได้ฟังบุพกรรมที่สันตติมหาอำมาตย์ทำแล้วจะเกิดบุญเป็นอันมาก จึงทรงตรัสว่า “ก่อนที่เธอจะปรินิพพาน จงเล่าบุพกรรมในอดีตชาติที่เธอทำแล้วแก่เราและมหาชนทั้งหลาย เมื่อจะเล่าจงอย่านั่งบนพื้นดินเล่า จงนั่งบนอากาศสูง ๗ ชั่วต้นตาลเล่าเถิด”
เขากราบทูลว่า “ดี พระเจ้าข้า” ถวายบังคมพระศาสดา แล้วเหาะขึ้นสู่อากาศสูงชั่วต้นตาลหนึ่งก็ลงมาถวายบังคมพระศาสดาอีก แล้วเหาะขึ้นสู่อากาศในทำนองเดียวกันนี้ จนครั้งที่ ๗ เหาะขึ้นสู่อากาศนั่งบนบัลลังก์แก้ว ๗ ประการ สูง ๗ ชั่วต้นตาลตามลำดับ แล้วทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์ทรงสดับกรรมในอดีตชาติของข้าพระองค์ดังนี้เถิด….”

บุพกรรมของสันติสันตติมหาอำมาตย์
    “ในกัปที่ ๙๑ แต่กัปนี้ ครั้งพระพุทธเจ้าพระนามว่า วิปัสสี ข้าพระองค์เกิดในตระกูลมั่งคั่งตระกูลหนึ่งในนครพันธุมะดี ข้าพระองค์ถึงพร้อมด้วยทรัพย์สมบัติและรูปสมบัติอันเกิดแต่บุญเก่า ข้าพระองค์สำเร็จการศึกษาชั้นสูงที่สุด ตระกูลของข้าพระองค์ทุกคนมีศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ยินดีในการให้ทานและรักษาศีลมิได้ขาด ข้าพระองค์ได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ได้ฟังพระธรรมเทศนาจากพระองค์แล้วมีความประทับใจ เห็นเป็นธรรมอันประเสริฐ คิดว่า ‘ กิจกรรมอะไรหนอที่ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ’ เมื่อใคร่ครวญอยู่ก็เห็นการเที่ยวป่าวประกาศในบุญทั้งหลาย ตั้งแต่กาลนั้นข้าพระองค์ได้เดินเที่ยวป่าวร้องว่า ‘ ท่านทั้งหลายขอเชิญทำบุญ ขอเชิญสมาทานศีล ๕ ขอเชิญสมาทานศีลอุโบสถ ในวันอุโบสถขอเชิญไปถวายทาน ขอเชิญไปฟังพระธรรมเทศนาที่วัด ชื่อว่ารัตนะอื่นจะประเสริฐ เช่น พระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ไม่มี ขอเชิญทุกท่านสักการบูชารัตนะทั้ง ๓ เถิด ’
พระราชาผู้เป็นใหญ่ทรงพระนามว่า พันธุมะ ซึ่งเป็นพระพุทธบิดาทรงสดับเสียงของข้าพระองค์ ทรงรับสั่งให้เรียกข้าพระองค์เข้าเฝ้าแล้วได้ตรัสถามว่า….
• ‘ พ่อ... เจ้าเที่ยวทำอะไรอยู่? ’
• ‘ ข้าแต่สมมุติเทพ ข้าพระองค์เที่ยวป่าวประกาศคุณของพระรัตนะทั้ง ๓ เชิญชวนมหาชนในการทำบุญทั้งหลาย พระเจ้าข้า ’
• ‘ เจ้านั่งบนอะไรเที่ยวไป? ’
• ‘ ข้าแต่สมมุติเทพ ข้าพระองค์เดินไป พระเจ้าข้า ’
• ‘ พ่อ... เจ้าไม่ควรเดินไปอย่างนั้น จงประดับพวงดอกไม้นี้แล้วนั่งบนหลังม้าเที่ยวไปเถิด ’
แล้วก็พระราชทานพวงดอกไม้เช่นกับพวงแก้วมุกดา ทั้งได้พระราชทานม้าที่ฝึกดีแล้วแก่ข้าพระองค์

ต่อมา.... พระราชามีรับสั่งให้ข้าพระองค์เข้าเฝ้าอีก ทรงตรัสถามว่า.....
• ‘ พ่อ... เจ้าเที่ยวทำอะไรอยู่? ’
• ‘ ข้าแต่สมมุติเทพ ข้าพระองค์ขี่ม้าที่พระองค์ทรงโปรดพระราชทานให้ เที่ยวป่าวประกาศคุณของพระรัตนะทั้ง ๓ เชิญชวนมหาชนในการทำบุญทั้งหลาย พระเจ้าข้า ’
• ‘ พ่อ... แม้ม้าก็ไม่สมควรแก่เจ้า จงนั่งบนรถหรูนี้เที่ยวไปเถิด ’
แล้วได้พระราชทานรถหรูที่เทียมด้วยม้าสินธพ ๔ ตัว พร้อมด้วยเครื่องอลังการแก่ข้าพระองค์

ต่อมาในครั้งที่ ๓.... พระราชามีรับสั่งให้ข้าพระองค์เข้าเฝ้าอีก ทรงตรัสถามว่า....
• ‘ พ่อ... เจ้าเที่ยวทำอะไรอยู่? ’
• ‘ ข้าแต่สมมุติเทพ ข้าพระองค์นั่งบนรถหรูเทียมด้วยม้าสินธพ ๔ ตัว ที่พระองค์ทรงโปรดพระราชทานให้ เที่ยวป่าวประกาศคุณของพระรัตนตรัยทั้ง ๓ เชิญชวนมหาชนในการทำบุญทั้งหลาย พระเจ้าข้า ’
• ‘ แนะพ่อ... แม้รถหรูก็ไม่สมควรแก่เจ้า จงนั่งบนคอช้างเที่ยวไปเถิด ’
แล้วได้พระราชทานทรัพย์เป็นอันมาก พระราชทานเครื่องประดับอย่างยิ่งใหญ่ และพระราชทานช้างที่ฝึกดีแล้วเชือกหนึ่งแก่ข้าพระองค์ ข้าพระองค์ก็ประดับอาภรณ์ทุกอย่างนั่งบนคอช้างเที่ยวป่าวประกาศสัจจะธรรมของพระศาสดาอยู่แปดหมื่นปี กลิ่นจันทร์หอมฟุ้งออกจากกายของข้าพระองค์ กลิ่นอุบลหอมฟุ้งออกจากปากของข้าพระองค์ตลอดกาลนั้น เมื่อหมดอายุจากอัตภาพนั้นแล้วข้าพระองค์ได้ไปสู่สวรรค์ชั้นต่างๆเป็นเอนก ถ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ก็เป็นมนุษย์ชั้นดี ไม่รู้จักทุคติเลย นี่เป็นผลแห่งการประกาศคุณของพระรัตนะทั้ง ๓ เหล่านี้เป็นกิจกรรมที่ข้าพระองค์ได้กระทำแล้ว พระเจ้าข้า”

สันตติมหาอำมาตย์นั่งบนบัลลังก์อันสูงค่ากลางอากาศ ทูลเล่าบุพกรรมของตนแล้วได้เข้าเตโชธาตุปรินิพพาน เปลวไฟเกิดขึ้นในสรีระไหม้เนื้อหนัง เอ็นกระดูกและโลหิตทั้งหลายแล้ว เหลือสรีระธาตุงามดุจดอกมะลิ พระศาสดาทรงคลี่ผ้าขาว สรีระธาตุทั้งหมดก็ร่วงลงบนผ้าขาวนั้น พระองค์ทรงห่อสรีระธาตุเหล่านั้นแล้วรับสั่งให้สร้างสถูป(เจดีย์) บรรจุสรีระธาตุเหล่านั้นไว้ที่ทาง ๔ แพร่ง ด้วยพระประสงค์ว่า “มหาชนกราบไหว้บูชาแล้วจะเป็นบุญ”

พระภิกษุทั้งหลายสนทนากันในโรงธรรมว่า “ผู้มีอายุ สันตติมหาอำมาตย์บรรลุอะระหันต์เมื่อจบพระคาถาเดียว ประดับกายด้วยอาภรณ์ทุกอย่าง นั่งบนบัลลังก์อันสูงค่าปรินิพพานบนอากาศแล้ว ควรเรียกท่านว่า สะมะณะ หรือควรเรียกว่า พราหมณ์ ดี ?”
ขณะนั้นพระศาสดาเสด็จมาพอดี ทรงตรัสถามว่า “ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอกำลังนั่งประชุมอะไร?” ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องที่กำลังสนทนาอยู่ให้พระองค์ทราบ แล้วทรงตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลายการเรียกบุตรของเราว่า สะมะณะ ก็ควร เรียกว่า พราหมณ์ ก็ควรเหมือนกัน” พระองค์ทรงตรัสเป็นพระคาถาว่า....

“ถึงแม้บุคคลประดับประดาอยู่ ถ้าเขาประพฤติสม่ำเสมอ เป็นผู้สงบ ฝึกตนดีแล้ว เป็นผู้เที่ยง (ในอริยะมรรค ๔) มีปกติประพฤติประเสริฐ วางอาชญาในสัตว์ทุกจำพวก บุคคลนั้นเป็นพราหมณ์ เป็นสะมะณะ เป็นภิกษุ”

ในกาลจบพระธรรมเทศนา มหาชนเป็นอันมากได้บรรลุอริยะผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น
พระไตรปิฎกอรรถกถา ธรรมบท เล่มที่ ๔๒ หน้า ๑๑๓






หน้าแรก I ประวัติหลวงพ่อเกษตร I วัดเขาหินเทิน I ธรรมะโดยหลวงพ่อเกษตร I กระดานกระทู้ธรรม l ติดต่อกับเรา
Copyright © 2003  Wat Khaohinturn All rights reserved
Designed & Managed by : flmonline.net