ในกัปที่
๙๑ แต่กัปนี้ ครั้งพระพุทธเจ้าพระนามว่า วิปัสสี
ข้าพระองค์เกิดในตระกูลมั่งคั่งตระกูลหนึ่งในนครพันธุมะดี
ข้าพระองค์ถึงพร้อมด้วยทรัพย์สมบัติและรูปสมบัติอันเกิดแต่บุญเก่า
ข้าพระองค์สำเร็จการศึกษาชั้นสูงที่สุด ตระกูลของข้าพระองค์ทุกคนมีศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า
พระธรรม พระสงฆ์ ยินดีในการให้ทานและรักษาศีลมิได้ขาด
ข้าพระองค์ได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ได้ฟังพระธรรมเทศนาจากพระองค์แล้วมีความประทับใจ
เห็นเป็นธรรมอันประเสริฐ คิดว่า กิจกรรมอะไรหนอที่ไม่เบียดเบียนผู้อื่น
เมื่อใคร่ครวญอยู่ก็เห็นการเที่ยวป่าวประกาศในบุญทั้งหลาย
ตั้งแต่กาลนั้นข้าพระองค์ได้เดินเที่ยวป่าวร้องว่า
ท่านทั้งหลายขอเชิญทำบุญ ขอเชิญสมาทานศีล
๕ ขอเชิญสมาทานศีลอุโบสถ ในวันอุโบสถขอเชิญไปถวายทาน
ขอเชิญไปฟังพระธรรมเทศนาที่วัด ชื่อว่ารัตนะอื่นจะประเสริฐ
เช่น พระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ไม่มี
ขอเชิญทุกท่านสักการบูชารัตนะทั้ง ๓ เถิด
พระราชาผู้เป็นใหญ่ทรงพระนามว่า พันธุมะ ซึ่งเป็นพระพุทธบิดาทรงสดับเสียงของข้าพระองค์
ทรงรับสั่งให้เรียกข้าพระองค์เข้าเฝ้าแล้วได้ตรัสถามว่า
.
พ่อ... เจ้าเที่ยวทำอะไรอยู่?
ข้าแต่สมมุติเทพ ข้าพระองค์เที่ยวป่าวประกาศคุณของพระรัตนะทั้ง
๓ เชิญชวนมหาชนในการทำบุญทั้งหลาย พระเจ้าข้า
เจ้านั่งบนอะไรเที่ยวไป?
ข้าแต่สมมุติเทพ ข้าพระองค์เดินไป พระเจ้าข้า
พ่อ... เจ้าไม่ควรเดินไปอย่างนั้น จงประดับพวงดอกไม้นี้แล้วนั่งบนหลังม้าเที่ยวไปเถิด
แล้วก็พระราชทานพวงดอกไม้เช่นกับพวงแก้วมุกดา
ทั้งได้พระราชทานม้าที่ฝึกดีแล้วแก่ข้าพระองค์
ต่อมา.... พระราชามีรับสั่งให้ข้าพระองค์เข้าเฝ้าอีก
ทรงตรัสถามว่า.....
พ่อ... เจ้าเที่ยวทำอะไรอยู่?
ข้าแต่สมมุติเทพ ข้าพระองค์ขี่ม้าที่พระองค์ทรงโปรดพระราชทานให้
เที่ยวป่าวประกาศคุณของพระรัตนะทั้ง ๓ เชิญชวนมหาชนในการทำบุญทั้งหลาย
พระเจ้าข้า
พ่อ... แม้ม้าก็ไม่สมควรแก่เจ้า จงนั่งบนรถหรูนี้เที่ยวไปเถิด
แล้วได้พระราชทานรถหรูที่เทียมด้วยม้าสินธพ
๔ ตัว พร้อมด้วยเครื่องอลังการแก่ข้าพระองค์
ต่อมาในครั้งที่ ๓.... พระราชามีรับสั่งให้ข้าพระองค์เข้าเฝ้าอีก
ทรงตรัสถามว่า....
พ่อ... เจ้าเที่ยวทำอะไรอยู่?
ข้าแต่สมมุติเทพ ข้าพระองค์นั่งบนรถหรูเทียมด้วยม้าสินธพ
๔ ตัว ที่พระองค์ทรงโปรดพระราชทานให้ เที่ยวป่าวประกาศคุณของพระรัตนตรัยทั้ง
๓ เชิญชวนมหาชนในการทำบุญทั้งหลาย พระเจ้าข้า
แนะพ่อ... แม้รถหรูก็ไม่สมควรแก่เจ้า
จงนั่งบนคอช้างเที่ยวไปเถิด
แล้วได้พระราชทานทรัพย์เป็นอันมาก พระราชทานเครื่องประดับอย่างยิ่งใหญ่
และพระราชทานช้างที่ฝึกดีแล้วเชือกหนึ่งแก่ข้าพระองค์
ข้าพระองค์ก็ประดับอาภรณ์ทุกอย่างนั่งบนคอช้างเที่ยวป่าวประกาศสัจจะธรรมของพระศาสดาอยู่แปดหมื่นปี
กลิ่นจันทร์หอมฟุ้งออกจากกายของข้าพระองค์
กลิ่นอุบลหอมฟุ้งออกจากปากของข้าพระองค์ตลอดกาลนั้น
เมื่อหมดอายุจากอัตภาพนั้นแล้วข้าพระองค์ได้ไปสู่สวรรค์ชั้นต่างๆเป็นเอนก
ถ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ก็เป็นมนุษย์ชั้นดี
ไม่รู้จักทุคติเลย นี่เป็นผลแห่งการประกาศคุณของพระรัตนะทั้ง
๓ เหล่านี้เป็นกิจกรรมที่ข้าพระองค์ได้กระทำแล้ว
พระเจ้าข้า
สันตติมหาอำมาตย์นั่งบนบัลลังก์อันสูงค่ากลางอากาศ
ทูลเล่าบุพกรรมของตนแล้วได้เข้าเตโชธาตุปรินิพพาน
เปลวไฟเกิดขึ้นในสรีระไหม้เนื้อหนัง เอ็นกระดูกและโลหิตทั้งหลายแล้ว
เหลือสรีระธาตุงามดุจดอกมะลิ พระศาสดาทรงคลี่ผ้าขาว
สรีระธาตุทั้งหมดก็ร่วงลงบนผ้าขาวนั้น พระองค์ทรงห่อสรีระธาตุเหล่านั้นแล้วรับสั่งให้สร้างสถูป(เจดีย์)
บรรจุสรีระธาตุเหล่านั้นไว้ที่ทาง ๔ แพร่ง
ด้วยพระประสงค์ว่า มหาชนกราบไหว้บูชาแล้วจะเป็นบุญ
พระภิกษุทั้งหลายสนทนากันในโรงธรรมว่า
ผู้มีอายุ สันตติมหาอำมาตย์บรรลุอะระหันต์เมื่อจบพระคาถาเดียว
ประดับกายด้วยอาภรณ์ทุกอย่าง นั่งบนบัลลังก์อันสูงค่าปรินิพพานบนอากาศแล้ว
ควรเรียกท่านว่า สะมะณะ หรือควรเรียกว่า
พราหมณ์ ดี ?
ขณะนั้นพระศาสดาเสด็จมาพอดี ทรงตรัสถามว่า
ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอกำลังนั่งประชุมอะไร?
ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องที่กำลังสนทนาอยู่ให้พระองค์ทราบ
แล้วทรงตรัสว่า ภิกษุทั้งหลายการเรียกบุตรของเราว่า
สะมะณะ ก็ควร เรียกว่า พราหมณ์ ก็ควรเหมือนกัน
พระองค์ทรงตรัสเป็นพระคาถาว่า....
ถึงแม้บุคคลประดับประดาอยู่ ถ้าเขาประพฤติสม่ำเสมอ
เป็นผู้สงบ ฝึกตนดีแล้ว เป็นผู้เที่ยง (ในอริยะมรรค
๔) มีปกติประพฤติประเสริฐ วางอาชญาในสัตว์ทุกจำพวก
บุคคลนั้นเป็นพราหมณ์ เป็นสะมะณะ เป็นภิกษุ
ในกาลจบพระธรรมเทศนา มหาชนเป็นอันมากได้บรรลุอริยะผลทั้งหลาย
มีโสดาปัตติผลเป็นต้น
พระไตรปิฎกอรรถกถา ธรรมบท เล่มที่
๔๒ หน้า ๑๑๓