ครั้งหนึ่งพระผู้มีพระภาคประทับอยู่
ณ พระวิหารเวฬุวันใกล้กรุงราชคฤห์ ครั้งนั้นมีนักแสดงชื่อ
ตาละปุตตะสูตร เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ
ถวายบังคมแล้วนั่งสนทนากับพระองค์ เขาทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เคยได้ฟังนักแสดงผู้เป็นอาจารย์
และอาจารย์แต่เก่าก่อนกล่าวว่า นักแสดงคนใดทำให้คนหัวเราะรื่นเริง
ด้วยคำจริงบ้าง คำเท็จบ้าง อยู่บนเวทีแสดง อยู่บนสถานมหรสพ
ผู้นั้นเมื่อตายไปย่อมไปเกิดเป็นเทวดาผู้ร่าเริง
ข้อนี้พระองค์จะตรัสอย่างไรพระเจ้าข้า?
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า... "อย่าเลยคุณนักแสดง ข้อนี้จงพักเสียเถิด อย่าถามเลย" เขายังถามคำถามเดิมอีกเป็นครั้งที่ ๒ พระองค์ก็ทรงห้ามเสีย เขายังคงถามอีกเป็นครั้งที่ ๓...
พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า...
"เจริญพร...คุณนักแสดง เราห้ามท่านแล้ว แต่ท่านยังถามอยู่อีก เราก็จะบอกว่า เมื่อก่อนสัตว์ทั้งหลายถูกความกำหนัดผูกไว้ นักแสดงได้ส่งเสริม ปลุกเร้าความกำหนัดอยู่บนเวทีแสดง อยู่บนสถานมหรสพ แก่สัตว์เหล่านั้นให้มากยิ่งขึ้น
เมื่อก่อนสัตว์ทั้งหลายถูกความโกรธผูกไว้ นักแสดงได้ส่งเสริม ปลุกเร้าความความโกรธอยู่บนเวทีแสดง อยู่บนสถานมหรสพ แก่สัตว์เหล่านั้นให้มากยิ่งขึ้น
เมื่อก่อนสัตว์ทั้งหลายถูกความหลงผูกไว้ นักแสดงได้ส่งเสริม ปลุกเร้าความหลงอยู่บนเวทีแสดง อยู่บนสถานมหรสพ แก่สัตว์เหล่านั้นให้มากยิ่งขึ้น
นักแสดงเองก็มัวเมาประมาท ดังนั้นเมื่อเขาตายไปย่อมไปเกิดในนรก ถ้าผู้ใดมีความเห็นว่า นักแสดงผู้ทำคนให้หัวเราะ รื่นเริง ด้วยคำจริงบ้าง ด้วยคำเท็จบ้างอยู่บนเวทีแสดง อยู่บนสถานมหรสพ เมื่อเขาตายไปย่อมไปเกิดเป็นเทวดาผู้ร่าเริง ความเห็นของผู้นั้นเป็นความเห็นผิด แน่ะ...คุณนักแสดงเรากล่าวที่ไป ๒ อย่างคือ การไปเกิดเป็นสัตว์นรกหรือสัตว์เดรัจฉาน อย่างใดอย่างหนึ่งของผู้มีความเห็นผิด"