อามคันธสูตร
เรื่องกลิ่นดิบกลิ่นไม่ดิบ
(อาหารของพระพุทธเจ้า)
 

               ติสสดาบสทูลถามพระผู้มีพระภาคกัสสปะด้วยคาถาว่า…
               " สัตบุรุษทั้งหลายบริโภคข้าวฟ่าง ลูกเดือย ถั่วเขียวใบไม้ หัวมัน และผลไม้ที่ได้แล้วโดยธรรม หาปรารถนากามและกล่าวคำเหลาะ แหละไม่ ข้าแต่พระผู้มีพระภาคกัสสปะ

              เมื่อพระองค์เสวยเนื้อที่ผู้อื่นทำสำเร็จตกแต่งอย่างปราณีตกับข้าวสาลีสุกถวายแล้ว ย่อมเชื่อว่าเสวยกลิ่นดิบ ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นเผ่าพันธุ์พรหม พระองค์ตรัสว่า กลิ่นดิบไม่ควรแก่เรา แต่ยังเสวยข้าวสาลีสุกกับเนื้อที่บุคคลปรุงดีแล้ว ข้าพระองค์ทูลถามว่ากลิ่นดิบของพระองค์เป็นอย่างไร ?"

   


             พระผู้มีพระภาคกัสสปะตรัสตอบด้วยคาถาว่า…

              " การฆ่าสัตว์ การทุบตี การตัด การจองจำ การลัก การพูดเท็จ การกระทำด้วยความโลภ การหลอกลวง การเรียนคัมภีร์ที่ไร้ประโยชน์ และการคบหาภรรยาผู้อื่นนี้ชื่อว่ากลิ่นดิบ เนื้อและโภชนะไม่ชื่อว่ากลิ่นดิบเลย"

             " ชนเหล่าใดในโลกนี้ไม่สำรวมในกามทั้งหลาย ยินดีในรสทั้งหลายอันไม่สะอาด มีความเห็นว่าให้ทานแล้วไม่มีผล มีการงานไม่สม่ำเสมอ ดื้อด้าน นี้ชื่อว่ากลิ่นดิบ เนื้อและโภชนะไม่ชื่อว่ากลิ่นดิบเลย"

             " ชนเหล่าใดมีกิเลส หยาบช้า หน้าไหว้หลังหลอก ประทุษร้ายมิตร ไม่มีความกรุณา มีมานะจัด มีปรกติไม่ให้อะไรแก่ใครนี้เชื่อว่ากลิ่นดิบ เนื้อและโภชนะไม่ชื่อว่ากลิ่นดิบเลย"

              " ความโกรธ ความมัวเมา ความตั้งตนไว้ผิด มายา ริษยา ความยกตน ความถือตัว ความดูหมิ่นและการคบอสัตบุรุษนี้ชื่อว่ากลิ่นดิบ เนื้อและโภชนะไม่ชื่อว่ากลิ่นดิบเลย"

              " การประพฤติลามก กู้หนี้มาแล้วไม่ใช้ พูดเสียดสี พูดเท็จ เป็นคนเทียม เป็นคนทราม หยาบช้า นี้ชื่อว่ากลิ่นดิบ เนื้อและโภชนะไม่ชื่อว่ากลิ่นดิบเลย"

              " การไม่สำรวมในสัตว์ทั้งหลายและชักชวนให้ผู้อี่นเบียดเบียน ทุศีล ร้ายกาจ หยาบคาย ไม่เอื้อเฟื้อ นี้ชื่อว่ากลิ่นดิบ เนื้อและโภชนะไม่ชื่อว่ากลิ่นดิบเลp"

              " สัตว์เหล่าใดมีความกำหนัดแรงกล้า โกรธเคือง ประกอบอกุศลเป็นนิตย์ ตายไปแล้วย่อมเข้าถึงที่มืด มีหัวลงตกไปสู่นรก นี้ชื่อว่ากลิ่นดิบ เนื้อและโภชนะไม่ชื่อว่ากลิ่นดิบเลย"

              " การไม่กินปลาและเนื้อ การเปลือยกาย การโกนศีรษะโล้น การเกล้าชฎา การคลุกฝุ่นธุลี การห่มหนังสือพร้อมทั้งเล็บ การบำเรอไฟ การทรมานตนให้เศร้าหมอง การสวดมนต์ การเซ่นสรวง การบูชายัญ ย่อมไม่ยังสัตว์ผู้ยังสงสัยให้บริสุทธิ์ได้"

              " ส่วนผู้ใดคุ้มครองอินทรีย์ทั้ง ๖ รู้แจ้งอินทรีย์แล้วตั้งอยู่ในธรรมเป็นตรง อ่อนโยน ตัดเครื่องผูกเสียได้ ละทุกข์ได้ทั้งหมดไม่ติดอยู่ในสิ่งที่เห็นแล้วฟังแล้ว ผู้นั้นเป็นนักปราชญ์ไม่มีกลิ่นดิบไม่มีตัณหาและทิฏฐิ ตามรู้ได้ยาก"

               พระผู้มีพระภาคตรัสบอกดังนี้ ติสสดาบสผู้ถึงฝั่งแห่งมนต์ได้ฟังบทสุภาษิตอันไม่มีกลิ่นดิบ เป็นเครื่องบรรเทาทุกข์ทั้งปวงของพระพุทธเจ้าแล้วมีใจนอบน้อมถวายบังคมพระบาทของตถาคตทูลขอบรรชาในที่นั้นแล

   
 

(พระไตรปิฎก เล่ม ๒๕ หน้า ๓๓๙)
 


หน้าแรก I ประวัติหลวงพ่อเกษตร I วัดเขาหินเทิน I ภาพกิจกรรมวัดเขาหินเทิน I ธรรมะโดยหลวงพ่อเกษตร I กระดานกระทู้ธรรม l ติดต่อกับเรา
Copyright © 2003  Wat Khaohinturn All rights reserved
Designed & Managed by : flmonline.net