กิรสูตร
(ความเห็นที่แตกต่างกันของพวกเจ้าลัทธิ)
 

              สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี สมัยนั้นบรรดาสมณะ,พราหมณ์,ปริพาชก จำนวนมาก มีลัทธิต่างๆกัน มีทิฐิต่างกัน มีความพอใจต่างกัน มีความชอบใจต่างกัน อาศัยทิฐินิสัยต่างกัน เจ้าลัทธิเหล่านั้นอาศัยอยู่ในพระนครสาวัตถี บางพวกมีความเห็นว่า.....

   


๑.โลกเที่ยง การเห็นอย่างอื่นผิด บางพวกมีความเห็นว่า....
๒.โลกไม่เที่ยง การเห็นอย่างอื่นผิด บางพวกมีความเห็นว่า...
๓.โลกมีที่สุด...........
๔.โลกไม่มีที่สุด..........
๕.ชีวิตกับร่างกายเป็นอันเดียวกัน...........
๖.ชีวิตกับร่างกายเป็นคนละอัน..........
๗.สัตว์เมื่อตายแล้วย่อมเกิดอีก.........
๘.สัตว์เมื่อตายแล้วย่อมไม่เกิดอีก..........
๙.สัตว์เมื่อตายแล้วเกิดอีกก็มี ไม่เกิดอีกก็มี..........
๑๐.สัตว์เมื่อตายแล้วเกิดอีกก็ไม่ใช่ ไม่เกิดอีกก็ไม่ใช่............

            และยังมีความเห็นอื่นๆอีกมากมาย เจ้าลิทธิเหล่านั้นต่างทะเลาะกันวิวาทกัน อยู่อึงมี่ไม่อาจจะลงกันได้

             ในเช้าวันหนึ่งพระภิกษุจำนวนมากมายพากันไปบิณฑบาตในนครสาวัตถีได้เห็นได้ยินบรรดาเจ้าลิทธิเหล่านั้นด่าทะเลาะกันวิวาทกัน ไม่มีใครยอมกันและกันครั้นเที่ยวบิณฑบาตเสร็จแล้วกลับสู่วิหาร เมื่อฉันภัตตาหารเสร็จแล้วพระภิกษุเหล่านั้นพากันไปเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระองค์แล้วได้นั่งกราบทูลพระองค์ถึงเรื่องที่ได้เห็นได้ฟังลิทธิต่างๆในพระนครสาวัตถีทะเลาะกันวิวาทกันด้วยความเห็นที่แตกต่างกัน พระผู้มีภาคตรัสว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเดียรถีย์เหล่านั้นเป็นเหมือนคนตาบอด ไม่รู้จักว่าอะไรเป็นประโยชน์อะไรไม่เป็นประโยชน์ ไม่รู้จักธรรมะหรือไม่ใช่ธรรมะ ย่อมทะเลาะกันวิวาทกันเช่นนี้".

              ดูก่อนภิกษุทั้งหลายเรื่องเคยมีมาแล้วในพระนครสาวัตถีนี้มีพระราชาพระองค์หนึ่งตรัสเรียกราชบุรุชคนหนึ่งมาแล้วสั่งว่า ดูก่อนผู้เจริญ คนตาอบอดในพระนครสาวัตถีมีเท่าใดท่านจงไปบอกให้เขาเหล่านั้นทั้งหมดมาประชุมกันที่นี้ บุรุษนั้นทูลรับพระราชดำรัสแล้วได้พาคนตาบอดในพระนครสาวัตถีทั้งหมดเข้าไปเฝ้าพระราชาถึงที่ประทับ พระราชาทรงตรัสว่า "ท่านจงแสดงช้างแก่พวกเขาเถิด" บุรุษนั้นได้ไปนำช้างเชือกหนึ่งมายังท้องพระโรง จัดแบ่งคนตาบอดออกเป็นพวกๆ

              เขานำคนตาบอดพวกหนึ่งมาคลำศีรษะช้างแล้วให้กลับไป นำคนตาบอดอีกพวกหนึ่งมาคลำหูช้าง, นำคนตาบอดอีกพวกหนึ่งมาคลำงาช้าง, นำคนตาบอดอีกพวกหนึ่งมาคลำงวงช้าง, นำคนตาบอดอีกพวกหนึ่งมาคลำลำตัวช้าง, นำคนตาบอดอีกพวกหนึ่งมาคลำขาช้าง, นำคนตาบอดอีกพวกหนึ่งมาคลำหลังช้าง, นำคนตาบอดอีกพวกหนึ่งมาคลำโคนหางช้าง, นำคนตาบอดอีกพวกหนึ่งมาคลำปลายหางช้าง, เมื่อเขาแสดงแก่พวกคนตาบอดแล้วได้กราบทูลพระราว่า ขอเดชะพวกคนตาบอดได้คลำช้างเรียบร้อยแล้วพระเจ้าข้า
             พระราชาจึงตรัสถามพวกคนตาบอดทั้งหมอว่า ดูก่อนคนตาบอดทั้งหลายท่านได้คลำช้างแล้วหรือ? คนตาบอดเหล่านั้นกราบทูลว่า ขอเดชะพวกข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายได้คลำช้างแล้วพระเจ้าข้า

             พระราชาได้ตรัสถามคนตาบอดที่ละพวก โดยตรัสถามพวกแรกที่คลำศีรษะว่าช้าง พวกท่านได้คลำช้างแล้ว ช้างเป็นอย่างไร

             พวกที่คลำศีรษะช้าง ได้กราบทูลว่า ขอเดชะ ช้างเหมือนหม้อ พระเจ้าข้า
             พวกที่คลำหูช้าง ได้กราบทูลว่า ขอเดชะ ช้างเหมือนกระด้ง พระเจ้าข้า
             พระภิกษุผู้กระสันได้กราบทูลเล่าถึงสาเหตุให้พระศาสดาทรงสดับแล้ว
             พวกที่คลำงาช้าง ได้กราบทูลว่า ขอเดชะ ช้างเหมือนผาลไถ พระเจ้าข้า
             พวกที่คลำงวงช้าง ได้กราบทูลว่า ขอเดชะ ช้างเหมือนงอนไถ พระเจ้าข้า
             (พวกที่คลำลำตัวช้าง ได้กราบทูลว่า ขอเดชะ ช้างเหมือนฉางข้าว พระเจ้าข้า
             พวกที่คลำขาช้าง ได้กราบทูลว่า ขอเดชะ ช้างเหมือนต้นเสา พระเจ้าข้า
             พวกที่คลำปลายหางช้าง ได้กราบทูลว่า ขอเดชะ ช้างเหมือนไม้กวาด พระเจ้าข้า

             พวกคนตาบอดเหล่านั้นต่างทุ่มเถียงกัน ทะเลาะกันว่า ช้างเป็นอย่างนี้ไม่ใช่อย่างนั้น ช้างไม่ใช่เป็นอย่างนี้ช้างเป็นอย่างนั้น ไม่อาจลงกันได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระราชาทรงสดับคนตาบอดทุ่มเถียงกันดังนี้แล้วทรงพระสรวลสำราญพระราชหฤทัย
             ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน พวกเดีรถีย์ที่ทะเลาะกันเพราะความเห็นและทิฐิอันแตกต่างกันเป็นเหมือนพวกคนตาบอด ไม่รู้จักว่าอะไรเป็นประโยชน์อะไรไม่เป็นประโยชน์ ไม่รู้จักธรรมะหรือไม่ใช่ธรรมะ
             แล้วพระผู้มีพระภาคได้เปล่งอุทานว่า..... "สมณะพราหมณ์พวกต่างๆ ย่อมติดอยู่ในทิฐิทั้งหลายอันหาสาระมิได้เหล่านี้ เพราะพวกเขาเห็นโลกเพียงบางส่วน(ไม่ได้เห็นทั้งหมด) แล้วยึดถือความเห็นและทิฐิอันผิดนั้นจนเป็นนิสัย ย่อมวิวาทกัน"

   
 



จบกิรสูตร

(พระไตรปิฎกอรรถกถาเล่ม ๔๐ หน้า ๔๐๗)



  ในบางพระสูตร มีเจ้าลัทธิต่างๆมากราบทูลถามพระพุทธเจ้าถึงทิฐิต่างๆอันมีโลกเที่ยง......,โลกไม่เที่ยง.....เป็นต้น ว่าพระองค์จะทรงพยากรณ์หรือบัญญัติตายตัวลงไปว่าโลกเป็นอย่างไร พระพุทธเจ้าก็ทรงตรัสว่า "เราไม่พยากรณ์ ไม่บัญญัติตายตัวลงไปในทิฐิเหล่านั้นว่าอันใดถูก เพราะทิฐิเหล่านั้นเป็นความรู้ความเห็นเพียงส่วนเดียว(ไม่ถ้วนทั่ว) และไม่เป็นประโยชน์ แต่เราบัญญัติอริยะสัจจ์ ๔ เท่านั้น ถ้าผู้ใดทำสิกขา ๓ คือ ศีล สมาธิ และปัญญา ทำอภิญญาให้เกิดเขาจะรู้ยิ่งกว่านั้นอีก"
            อธิบาย ในทิฐิต่างๆของพวกเจ้าลัทธิเหล่านั้นมีทั้งถูกและไม่ถูก ถึงถูกก็ถูกไม่หมดซึ่งถูกเพียงส่วนเดียว เหมือนคนตาบอดคลำช้างเพียงส่วนเดียว ไม่ได้คลำทั้งตัว ถึงคลำทั้งตัวเขาก็ไม่รู้ละเอียดเพราะเป็นคนตาบอด เช่นเขาคลำศีรษะช้างก็รู้ช้างเหมือนหม้อแล้วประกาศหรือบัญญัติว่าช้างเหมือนหม้อ ซึ่งถูกอยู่แต่ส่วนเดียวไม่ถูกทั้งหมด เจ้าลัทธิต่างๆก็ฉันนั้นเขาเป็นเหมือนคนตาบอดเพราะไม่ได้ตรัสรู้ แต่พระพุทธเจ้าเป็นผู้ตรัสรู้ .

 



 


หน้าแรก I ประวัติหลวงพ่อเกษตร I วัดเขาหินเทิน I ภาพกิจกรรมวัดเขาหินเทิน I ธรรมะโดยหลวงพ่อเกษตร I กระดานกระทู้ธรรม l ติดต่อกับเรา
Copyright © 2003  Wat Khaohinturn All rights reserved
Designed & Managed by : flmonline.net