พระชตุกัณณิกะเถระ
 
(อานิสงส์ของการบำเรอพระพุทธเจ้าด้วยความบันเทิง)
 

            เมื่อแสนกัปมาแล้ว ครั้งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมมุตตะระเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ทรงยังหมู่สัตว์ทั้งปวงให้ข้ามแดนกันดาร ในกาลนั้นเราเกิดเป็นบุตรเศรษฐีอยู่ในนครหังสะวดี เพียบพร้อมแวดล้อมอยู่ด้วยกามคุณทั้งหลาย เราอยู่บนปราสาท ๓ หลัง ใช้สอยโภคสมบัติมากมายแวดล้อมด้วยการฟ้อนรำขับร้องอยู่ในปราสาทนั้น

 
   

           นักดนตรีพร้อมด้วยเครื่องดนตรีอย่างดีประโคมขับร้องกล่อมเรา นางบำเรอทั้งปวงบำเรอเรา นำเอาใจของเราให้ซ่านไป นักดนตรีจำพวกดีด สี ตี เป่า เครื่องประโคมทุกชนิด นักร้องเพลง นักเต้นรำ นักฟ้อนรำ นักเล่นละคร แวดล้อมเราอยู่ทุกเมื่อ นักเล่นกล นักเล่นกายกรรม นักแสดงผาดโผน นักห้อยโหน นักเล่นจำอวด แวดล้อมเราอยู่ทุกเมื่อ คนเฝ้ายาม คนอาบน้ำ ช่างตัดผม ช่างตัดเย็บเสื้อผ้า ช่างเสริมสวย คนคอยรับใช้ แวดล้อมเราอยู่ทุกเมื่อ นักต่อสู้ นักชกมวย นักมวยปล้ำ และนักกีฬาทั้งหลาย ต่างเล่นกีฬาอยู่รอบเรา เราชื่นชมการบำเรอที่คนเหล่านั้นแสดงอยู่ ย่อมไม่รู้คืนและวัน เปรียบเสมือนพระอินทร์เสวยสุขจากกามอันโอฬารในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
           คนเดินทาง นักท่องเที่ยว คนกำพร้า คนขอทาน เป็นอันมากเข้ามาหาเราถึงปราสาท สมณะและพราหมณ์ทั้งหลายผู้เป็นบุญเขตอย่างยิ่ง เมื่อจะยังบุญของเราให้เจริญย่อมมาจนถึงปราสาทของเรา พวกนิคันถะผู้นุ่งดอกไม้ ถือไม้สามง่าม ขมวดผมรวมกัน มาหาเราถึงปราสาท พวกอาชีวะกะผู้ถอนผม ทาตัวด้วยฝุ่นธุลี ถือว่าตนประเสริฐมาหาเราถึงปราสาท ฤาษี โยคี มุณี และนักพรต นักบวช ผู้มีความเชื่อในลัทธิปฏิบัติต่างๆ เช่นปฏิบัติแบบสุนัข ปฏิบัติแบบโคเป็นต้น มาหาเราถึงปราสาท คนตาบอด คนง่อย คนพิการ คนบ้า คนใบ้ คนกระจอกทั้งหลาย มาหาเราถึงปราสาท ช่างต่างๆ เช่น ช่างสาน ช่างหูก ช่างหนัง ช่างเหล็ก ช่างทอง เป็นต้นมาหาเราถึงปราสาท พ่อค้าแม่ค้าขายของต่างๆมาหาเราถึงปราสาท

              เราได้ถวายเครื่องบรรณาการแก่พระราชาพระนามว่า อานันทะ ด้วยรัตนะอันมีวรรณะ ๗ ประการ และของมีค่าทุกอย่างให้เต็ม คนทุกชั้นทุกวรรณะ เรารู้จิตของพวกเขาแล้วให้เขาอิ่มให้เขาพอใจด้วยรัตนะต่างๆ"

              เมื่อดนตรีอันไพเราะกำลังบรรเลงอยู่ เสียงกลองเสียงสังข์กำลังดังก้องอยู่ การขับร้องฟ้อนรำกำลังดำเนินอยู่ มหรสพทั้งหลายกำลังแสดงอยู่ เรากำลังรื่นรมย์อยู่ในปราสาท ขณะนั้นพระปทุมมุตตระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้มีพระจักษุพร้อมด้วยพระภิกษุอะระหันต์สาวกแสนรูปเสด็จบิณฑบาตมาตามถนน ทรงยังทิศทั้งปวงให้สว่างโชติช่วงเหมือนต้นไม้ประจำทวีป เมื่อองค์ผู้นำโลกกำลังเสด็จมา มหาชนผู้ศรัทธาประโคมกลองและเครื่องดนตรีทั้งปวงกึกก้องแห่นำเสด็จ รัศมีอันสว่างไสวดุจพระอาทิตย์อุทัยส่องจ้าเข้ามาในปราสาทของเราทางช่องหน้าต่าง เราเห็นพระรัศมีของพระพุทธแล้วได้กล่าวกับพวกบริษัทว่า พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุดเสด็จมาถึงถนนนี้แน่แล้ว เราจึงรีบลงจากปราสาทไปสู่ถนนถวายบังคมพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้กราบทูลว่า "ขอพระปทุมมุตตะระสัมมาสัมพุทธเจ้า จงทรงอนุเคราะห์ข้าพระองค์ ขอพระองค์พร้อมทั้งพระภิกษุสงฆ์ทั้งหมดเสด็จขึ้นไปรับภัตตาหารบนปราสาทของข้าพระองค์เถิดพระเจ้าข้า" พระมุนีพระองค์นั้นพร้อมด้วยพระอะระหันต์แสนรูปทรงรับนิมนต์ด้วยการนิ่งอยู่

             ครั้นเรานิมนต์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ได้นำพระองค์พร้อมทั้งพระภิกษุแสนรูปขึ้นสู่ปราสาทให้ประทับนั่งบนอาสะนะที่นั่งที่ปูไว้แล้ว ประเคนด้วยภัตตาหารคาวหวานอันประณีตให้ทรงอิ่มหนำ เรารู้เวลาและรู้พระประสงค์ที่พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุดผู้คงที่และเหล่าพระภิกษุกำลังเสวย เราได้ให้เหล่านักร้อง นักดนตรี นักฟ้อนรำและเหล่านักแสดงทั้งหลายทำการขับร้อง ฟ้อนรำ บรรเลงดนตรี และแสดงมหรสพทั้งปวงบำเรอพระองค์ เมื่อพระพุทธเจ้าผู้ทรงรู้แจ้งโลก ควรได้รับเครื่องบูชา ทรงเสวยภัตตาหารเสร็จ เอาพระหัตถ์ออกจากบาตรแล้ว พระองค์ทรงตรัสพระคาถาว่า:-

             "ผู้ใดบำเรอเราด้วยการขับร้องฟ้อนรำประโคมดนตรี และได้ถวายข้าวน้ำแก่เรา เราจะพยากรณ์ผู้นั้น ท่านทั้งหลายจงฟังเรากล่าว คนผู้นี้จะมีอาหารมากมาย มีเงินมีทองมีทรัพย์สมบัติมากมาย เสวยราชสมบัติแต่ผู้เดียวครอบครองทวีปทั้งสิ้นในโลก สตรีสาวสวยจะขับร้องฟ้อนรำ บรรเลงดนตรีบำเรอผู้นี้อยู่เป็นนิตย์ นี้เป็นผลแห่งการบำเรอพระพุทธเจ้าด้วยความบันเทิง ผู้นี้จะรื่นรมย์บนเทวะโลกตลอดสามหมื่นกัป จะได้เป็นจอมเทวดาเสวยทิพย์สมบัติในเทวะโลก ๖๔ ครั้ง นี้เป็นผลแห่งการบูชาพระพุทธเจ้าด้วยความบันเทิง ผู้นี้จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ครอบครองทวีปทั้งสิ้นในโลก เพียบพร้อมด้วยแก้ว ๗ ประการ ๗๔ ครั้ง จะได้เป็นพระราชาแห่งประเทศราชอันไพบูลย์โดยคณานับมิได้ จะสมาทานศีล ๕ ยินดีในกุศลกรรมบท ๑๐ ประพฤติปฏิบัติธรรมะ และยังบริษัทให้ศึกษาในกุศลธรรมะ นี้เป็นผลแห่งการบำเรอพระพุทธเจ้าด้วยความบันเทิง ผู้นี้เข้าถึงกำเนิดใด คือเป็นเทวดาหรือมนุษย์จะมีทรัพย์สมบัติไม่บกพร่อง นี้เป็นผลแห่งการบำเรอพระพุทธเจ้าด้วยความบันเทิง"

              "ในแสนกัปนับแต่นี้ไป พระศาสดามีพระนามว่า "โคตะมะ" จะทรงสมภพในราชวงศ์พระเจ้าโอกกากะราช จะเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ผู้นี้จะเป็นผู้เล่าเรียนรู้จบในศิลป์ศาสตร์ทั้งปวง จะรู้จบคัมภีร์ไตรเภท จะเที่ยวแสวงหาประโยชน์อันสูงสุดในแผ่นดิน ภายหลังเขาบวชแล้ว อันกุศลมูลตักเตือนแล้ว จะยินดียิ่งในศาสนาของพระโคตะมะพุทธเจ้า เขาจะยังพระองค์ให้โปรดปราน เผากิเลสทั้งหลายแล้ว จะได้เป็นพระอะระหันต์"
              แล้วพระองค์ตรัสเป็นคาถาว่า :

             "วันนี้เราเป็นผู้ไม่ครั่นคร้ามอยู่ในศาสนาของพระศากยะบุตร เปรียบเสมือนพญาเสือโคร่ง และพญาไกรสรราชสีห์ในป่าใหญ่ เรายังไม่เห็นการเกิดของเราในเทวะโลกก็ดี มนุษย์โลกก็ดี ที่จะเป็นคนยากจนหรือเข็นใจเลย นี้เป็นผลแห่งการบำเรอพระพุทธเจ้าด้วยความบันเทิง บัดนี้เราเป็นผู้ขวนขวายในวิเวก สงบระงับ ไม่มีอุปธิ ตัดกิเลสเครื่องผูกดังช้างตัดเชือกแล้ว เป็นผู้ไม่มีอาสวะอยู่ เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ถอนภพขึ้นได้ทั้งหมดแล้ว การที่เราได้มาในสำนักพระพุทธเจ้านี้ เป็นการมาดีแล้วหนอ วิชชา๓ เราบรรลุแล้วโดยลำดับ คำสอนพระพุทธเจ้าเราทำเสร็จแล้วคุณวิเศษเหล่านี้คือ ปฎิสัมภิทา๔ วิโมกข์๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งแล้ว"


   
  จบพระชตุกัณณิกะเถราปทาน

(พระไตรปิฎกเล่ม ๓๒)
 


หน้าแรก I ประวัติหลวงพ่อเกษตร I วัดเขาหินเทิน I ภาพกิจกรรมวัดเขาหินเทิน I ธรรมะโดยหลวงพ่อเกษตร I กระดานกระทู้ธรรม l ติดต่อกับเรา
Copyright © 2003  Wat Khaohinturn All rights reserved
Designed & Managed by : flmonline.net