ปาราสริยเถรคาถา  
(ความประพฤติของภิกษุเมื่อก่อนกับขณะนี้)
 

              พระปาราสริยะเถระผู้เป็นสมณะมีจิตแน่วแน่มีอารมณ์เป็นหนึ่งสงบระงับ ชอบสงัด เจริญฌานอยู่ในป่าใหญ่ ในฤดูดอกไม้ผลิได้มีความคิดว่า เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นอุดมบุรุษ เป็นที่พึ่งของโลกยังทรงพระชนม์ชีพอยู่ ความประพฤติของภิกษุทั้งหลายเป็นอย่างหนึ่ง

             เมื่อพระองค์เสด็จปรินิพพานไปแล้ว เดี๋ยวนี้ปรากฏเป็นอย่างหนึ่ง คือ ภิกษุทั้งหลายแต่ปางก่อนเป็นผู้สันโดษด้วยปัจจัยตามมีตามได้ นุ่งห่มผ้าเป็นปริมณฑล เพียงเพื่อป้องกันความหนาวอันเกิดจากลม และปกปิดความละอายเท่านั้น

   


             ภิกษุทั้งหลายแต่ปางก่อนฉันอาหารปราณีตก็ตามเศร้าหมองก็ตาม น้อยก็ตาม มากก็ตาม ก็เพื่อยังอัตตภาพให้เป็นไปเท่านั้น ไม่ติดไม่พัวพันเลย ภิกษุทั้งหลายแต่ปางก่อน แม้จะเจ็บไข้ก็ไม่ขวนขวายหาเภสัชปัจจัยอันเป็นบริการแก่ชีวิต เหมือนการขวนขวายในความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลายท่านเหล่านั้นขวนขวายพอกพูนวิเวกมุ่งแต่เรื่องวิเวกอยู่ในป่า โคนไม้ ซอกเขาและถ้ำเท่านั้น

             ภิกษุทั้งหลายแต่ปางก่อนเป็นผู้อ่อนน้อม มีศรัทธาตั้งมั่น เลี้ยงง่าย อ่อนโยน มีใจไม่กระด้าง ไม่ปราศจากสติ ไม่ปากร้ายเปลี่ยนแปลงตามความคิดอันเป็นประโยชน์ของตนเพราะเหตุนั้นภิกษุแต่ปางก่อนเป็นผู้มีข้อปฏิบัติในการก้าว การถอย การบริโภคปัจจัยการ โคจร มีอิริยาบทละมุนละไมก่อให้เกิดความเลื่อมใส เหมือนน้ำมันเหลว ไหลออกจากปากภาชนะไม่ขาดสายฉะนั้น บัดนี้ท่านเหล่านั้นสิ้นอาสวะทั้งปวงแล้วมักเจริญฌานเป็นอันมาก ประกอบด้วยฌานเป็นส่วนใหญ่ เป็นพระเถระผู้คงที่พากันนิพพานไปเสียหมดแล้ว บัดนี้ท่านเช่นนั้นเหลืออยู่น้อยเต็มที เพราะความสิ้นไปแห่งกุศลธรรมและปัญญา คำสั่งสอนของพระชินสีห์อันประกอบด้วยอาการอันประเสริฐทุกอย่างจะสิ้นไปในเวลาอันควร จะทำให้ธรรมลามกทั้งหลายและกิเลสทั้งหลายสงบไป

             ภิกษุเหล่าใดปรารถนาความเพียรเพื่อความสงัดภิกษุเหล่านั้นชื่อว่าเป็นผู้มีพระสัทธรรมที่เหลือเป็นข้อปฏิบัติ กิเลสเหล่านั้นเจริญงอกงามขึ้น ย่อมครอบงำคนพาลเป็นอันมากไว้ในอำนาจ ดังจะเล่นกับพวกคนพาลเหมือนปีศาจเข้าสิงทำให้เป็นบ้า เพ้อคลั่งอยู่ฉะนั้น นรชนเหล่านั้นถูกกิเลสครอบงำ ท่องเที่ยว ไปมาในวัฏสงสารยึดถือสิ่งทั้งหลายว่าเป็นตัวตน พากันละทิ้งพระสัทธรรมเสีย แบ่งพรรคพวกแตกเป็นนิกายต่างๆ แล้วทะเลาะกัน เหยียดหยามกัน ดูหมิ่นกัน ยึดถือตามความเห็นของตน สำคัญว่าสิ่งนี้เท่านั้นประเสริฐนรชนทั้งหลายที่ละทิ้งทรัพย์สมบัติ บุตรและภรรยาออกบวชแล้วยังพากันทำกิจที่ไม่ควรทำเพื่อภักษาหารเพียงทัพพีเดียว

             ภิกษุทั้งหลายฉันภัตตาหารจนเต็มอิ่มแล้วก็นอน เมื่อนอนก็นอนหงาย เมื่อ ตื่นแล้วก็กล่าวแต่ดิรัจฉานกถาที่พระศาสดาทรงติเตียน มีจิตรไม่สงบ พากันทำแต่ศิลป์ที่ไม่ควรทำ เช่นการประดับร่ม ประดับรองเท้า ประดับบาตร ประดับจีวร ถือไม่เท้าที่ทำอย่างวิจิตร เป็นต้น ไม่หวังประโยชน์จากการบำเพ็ญสมณธรรมเสียเลยภิกษุทั้งหลายมุ่งแต่สิ่งของดีๆ ให้มากหวังลาภสักการะและเสียงสรรเสริญจึงเอาดินเหนียวบ้าง น้ำมันบ้าง น้ำบ้าง ที่นั่งที่นอนบ้าง อาหารบ้าง ผลไม้บ้าง ไปให้แก่คฤหัสถ์ทั้งหลาย

              ภิกษุทั้งหลายพากันปรุงยารักษาโรค ทำตัวเป็นหมอวิเศษทำธุรกิจน้อยใหญ่เหมือนชาวบ้าน ตกแต่งกายเหมือนหญิงโสเภณี ประพฤติตนเหมือนกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ บริโภคอามิสด้วยอุบายเป็นอันมาก ทำให้คนหลงเชื่อหลอกลวง เป็นพยานโกงตามโรงศาล ใช้เล่ห์เหลี่ยมต่างๆอย่างนักเลง พูดเลียบเคียงเป็นอันมาก สะสมทรัพย์เป็นอันมากเพื่อประกอบอาชีพ ยังบริษัทให้บำเรอตนเพราะเหตุแห่งการงานแต่มิได้บำรุงโดยธรรม เที่ยวแสดงธรรมตามที่ต่างๆเพราะเหตุแห่งลาภมิใช่มุ่งประโยชน์ ภิกษุเหล่านั้นทะเลาะวิวาทกันเพราะลาภ เป็นผู้ห่างจากอริยะสงฆ์ เลี้ยงชีวิตด้วยลาภของผู้อื่น ไม่มีความละอายจริงอย่างนั้น

              ภิกษุบางพวกไม่ประพฤติสมณะธรรมเสียเลย เป็นเพียงคนโล้นคุมร่างไว้ด้วยผ้ากาสาวพัสตร์เท่านั้น เมื่อมีเครื่องทำลายต่างๆอย่างนี้ การบรรลุธรรม หรือ การรักษาธรรมที่บรรลุแล้ว ย่อมไม่ทำได้งายเหมือนเมื่อพระศาสดายังทรงพระชนม์อยู่ มุนีพึงตั้งสติเที่ยวไปเหมือนผู้ไม่ได้สวมรองเท้าเที่ยวไปในที่มีหนามฉะนั้นเถิด. พระโยคีเมื่อระลึกถึงวิปัสสนาที่ปรารภแล้วไม่ทอดทิ้งการปฏิบัติภาวนา ถึงจะเป็นวาระสุดท้ายก็ย่อมบรรลุอมตะบทได้

             พระปาราสริยเถระผู้เป็นสมณะอบรมอินทรีย์แล้ง เป็นพราหมณ์ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ มีภาพใหม่สิ้นแล้ว ครั้นกล่าววิธีปฏิบัติอย่างนี้แล้วได้ปรินิพานในป่าสาละ

   
 
จบปาราสริย เถรคาถา
( บุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒๖ หน้า ๓๙๑ )


 


หน้าแรก I ประวัติหลวงพ่อเกษตร I วัดเขาหินเทิน I ภาพกิจกรรมวัดเขาหินเทิน I ธรรมะโดยหลวงพ่อเกษตร I กระดานกระทู้ธรรม l ติดต่อกับเรา
Copyright © 2003  Wat Khaohinturn All rights reserved
Designed & Managed by : flmonline.net