เมื่อศึกษาหลักธรรม ได้อ่านประวัติของพระพุทธเจ้า ประวัติของพระอรหันต์และผู้มีบุญทั้งหลายจากพระไตรปิฎกอย่างเข้าใจซาบซึ้งแล้ว เกิดเห็นโทษของการครองเรือนว่ามีความคับแคบ เป็นทางมาแห่งธุลี คือ กิเลส ตัณหา เป็นทางมาแห่งบาป เห็นการออกบวชเป็นทางปลอดโปร่ง อิสระเสรี ไม่ต้องมีภาระ เป็นทางมาแห่งบุญ เป็นทางสิ้นเวรสิ้นบาปกรรมจึงคิดจะบวช ได้ไปติดต่อกับวัดต่าง ๆ ในกรุงเทพฯทราบว่าต้องมีญาติมารับรองและมีเงื่อนไขมาก

 
 


                ฉันไม่อยากให้ญาติรู้จึงคิดจะไปบวชหมู่กับเขาที่เขาเคยจัดกัน คอยติดตามดูประกาศแจ้งความจากหนังสือพิมพ์ ติดตามอยู่ ๓ วันก็พบประกาศเชิญชวนบวชหมู่ที่จังหวัดอ่างทองทางหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งโดยทางศาลากลางจังหวัดจัดขึ้น ฉันรีบไปสมัครเป็นคนแรกทันที เจ้าภาพก็ต้อนรับด้วยความดีใจไม่ซักไซ้อะไรเลย ในวันเข้าโบสถ์ พ่อ พี่ญาติ ๆสืบทราบก็มาพบกันที่โบสถ์พอดี เงินทองที่เหลือได้ทำบุญจนหมด บาปกรรมทั้งหลายที่เคยทำมาตลอดชีวิต ขอหยุดเพียงแค่นี้ ลาทีชีวิตที่ผิดพลาดอย่างมาก หันหลังให้อกุศลกรรมอันลามกหันหน้าสู่ทางบุญทางกุศล สู่ร่มเงาอันสงบเย็นของบวรพระพุทธศาสนา เป็นอันได้บวชเป็นพระภิกษุเมื่ออายุ ๒๘ ปี ในวันที่ ๒๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ ได้ฉายาว่า " พระภิกษุ เกษตร ปคุโณ " มีพระพุทธวงศาจารย์ เป็นพระอุปัชฌาย์ จำพรรษาอยู่ที่วัดอ่างทองวรวิหาร

              เมื่อบวชแล้วได้เรียน นวโกวาท อันเป็นหลักคำสอนพระภิกษุใหม่ที่เขาย่อเป็นบางส่วนจากพระไตรปิฎกซึ่งทางวัดบังคับให้เรียน ข้อวัตร ข้อปฏิบัติ เช่น การทำวัตรสวดมนต์ปรนนิบัติครูบาอาจารย์ฉันปฏิบัติอย่างเคร่งครัดไม่ขาดตกบกพร่อง งานวัดงานพระศาสนาก็ยินดีช่วยด้วยความเต็มใจ คิดว่าชีวิตนี้จะทำงานให้พระพุทธศาสนา

               เป็นพระภิกษุแล้วรู้สึกปลอดโปร่ง ไม่ร้อนอกร้อนใจ ไม่สะดุ้งหวั่นไหวหวาดกลัวเหมือนครั้งเป็นคฤหัสถ์ เหมือนมาสู่อาณาจักรใหม่สู่โลกใหม่ ในพรรษานั้นฉันก็ยังอ่านพระไตรปิฎกอยู่เป็นประจำเพื่อให้เกิดความแตกฉานขึ้นใจ ได้พบพุทธพจน์ว่า " ผู้ใดมีทรัพย์แล้วไม่เลี้ยงดูมารดา บิดาทรัพย์ของผู้นั้นย่อมพินาศ " พระองค์ทรงตรัสไว้ไม่มีผิด ฉันมาหวนระลึกถึงชีวิตในอดีตขณะที่ยังท่องเที่ยวค้าขายทำมาหากินอยู่ ตั้งหน้าตั้งตาทำงานด้วยความขยันที่สุดประหยัดที่สุดเพื่อความร่ำรวย ดำเนินชีวิตด้วยความระมัดระวังแต่แล้วก็มีเหตุให้เป็นไปต่าง ๆ นานา เกิดอุปสรรคจนล้มคว่ำไม่เป็นท่า

 



             ชะตานี้เอ๋ยช่างเลวทราม ตลอดชีวิตไม่มีความสุขเลย ทรัพย์สินเงินทองที่หามาได้ด้วยความยากลำบากเป็นเวลาหลายปี ก็ศูนย์สลายหลายเป็นความว่างเปล่า สมแล้วที่เราไม่เคยส่งเงินไปให้พ่อ ให้พี่หรือญาติผู้มีพระคุณ ตลอดชีวิตเราไม่เคยเอื้อเฟื้อท่านด้วยการไหว้กราบไม่เคยเอื้อเฟื้อด้วยคำไพเราะอ่อนหวาน ไม่เคยเอื้อเฟื้อท่านด้วยทรัพย์สินอันควรให้ ไม่ได้ทำอะไรให้ท่านได้ชื่นชมเลย ท่านมีแต่ให้เราทุกอย่าง

              เคยเห็นเพื่อนรุ่นพี่ รุ่นน้อง หรือรุ่นราวคราวเดียวกัน เขาเริ่มต้นชีวิตด้วยการหอบใบตรวจฉลากล๊อตเตอรี่ วิ่งขาย หอบหนังสือพิมพ์เดินเร่ขาย เขาเลี้ยงพ่อผู้แก่เฒ่า เลี้ยงแม่ผู้แก่เฒ่า ส่งน้องเรียนหนังสือ รู้จักให้ทาน รู้จักทำบุญทำกุศล กิจการของเขาก็รุ่งเรืองเสมอต้นเสมอปลาย ไม่ช้าไม่นานก็ตั้งตัวได้ต่อมาก็ได้เป็นเจ้าของห้างสรรพสินค้าใหญ่โตกันทุกคน แต่ก่อนนี้เห็นแล้วให้อิจฉา


              มาบัดนี้ฉันรู้ดีรู้ชั่วแล้วรู้สึกชื่นชมยินดี อนุโมทนาสาธุ " ขอเพื่อน ๆ ทุกคนจงอยู่เป็นสุข จงประสพกับความเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป เพื่อน ๆ ทุกคนทำดีแล้ว ทำถูกต้องแล้ว" ผลของบาปมีจริง ผลของบุญมีจริง นรกมีจริงสวรรค์มีจริง ไม่ต้องรอชาติหน้าเลย " ลูกมารู้สำนึกเอาเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างหมดไปแล้ว เคราะห์กรรมครั้งนี้พ่อแม่ไม่ได้ทำให้, พี่น้องไม่ได้ทำให้, ญาติทั้งหลายไม่ได้ทำให้,เทวดาไม่ได้ทำให้,พระพรหมไม่ได้ทำให้ แต่เราทำของเราเอง พอกันที…ชีวิตที่ผิดพลาด ! ตั้งแต่บัดนี้ลูกจะสร้างแต่กรรมดี จะสร้างแต่บุญบารมี จะอุทิศส่วนบุญให้ทุกท่าน
 

             เมื่อฉันบวชแล้วคิดจะเรียนนักธรรมตรี, นักธรรมโท, นักธรรมเอก. จึงค้นหาตำราเรียนซึ่งในวัดมีอยู่มาก ได้ตำราเรียนนักธรรมตรีมาตั้งหนึ่ง นักธรรมโทตั้งหนึ่ง นักธรรมเอกตั้งหนึ่ง เมื่ออ่านดูแล้ว เห็นมีความคลาดเคลื่อนจากพระไตรปิฎกมากโดยผู้เรียบเรียงตีความหมายเอาเอง สอดแทรกทิฐิ และความคิดความเห็นอันไม่พ้นกิเลสของตนเข้าไป เป็นที่น่าเกลียดอย่างยิ่งคือเรื่อง

              " ประวัติของพระพุทธเจ้า " เขาแทรกบทวิจารณ์ไปในทางลบ คุณวิเศษ,ฤทธิ์, ปาฏิหาริย์ ของพระพุทธองค์ถูกตัดออกหมด ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ตีความเป็นวิทยาศาสตร์ตื้น ๆ ไป พุทธศาสตร์เป็นวิชาของผู้ได้ญาณวิเศษ แต่วิทยาศาสตร์เป็นวิชาของผู้หนาด้วยกิเลส เขาทำพระบรมศาสดาผู้เป็นบุคคลเอก, เป็นอัจฉริยมนุษย์, เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ ฯลฯ.ให้เป็นบุคคลธรรมดาไม่ได้วิเศษเลิศเลออะไร ฉันศึกษาจากพระไตรปิฏกเป็นอย่างหนึ่งมาศึกษาจากตำราข้างนอกเป็นอีกอย่างหนึ่ง รู้สึกรับไม่ได้ ฉันมีศรัทธาเต็มเปี่ยมมีความเชื่อในพระพุทธองค์ดีอยู่แล้ว มาอ่านพบเข้าถึงกับตะลึงว่า " เขาสอนพระภิกษุสามเณรผู้ที่จะต้องสืบพระศาสนากันอย่างนี้เองหรือ? " ตำราเหล่านี้ไม่ได้ส่งเสริมให้เกิดความเชื่อ,ไม่ได้ส่งเสริมให้เกิดความเลื่อมใสศรัทธา,ไม่ได้เป็นไปเพื่อละกิเลส ฉันจึงไม่เรียน จะเรียนแต่พระไตรปิฎกเท่านั้น

              ธรรมดาพระภิกษุสามเณรที่บวชกันมาที่ปฏิบัติดีก็มี ที่ปฏิบัติไม่ดีก็มี ท่านที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตั้งอยู่ในพระธรรมวินัย ฉันก็เกิดความเลื่อมใสศรัทธา ส่วนที่ปฏิบัติไม่ดีไม่ตั้งอยู่ในพระธรรมวินัย ฉันก็ปลงเสียว่าท่านมีอินทรีย์ยังไม่แก่กล้า บารมียังไม่เต็มหรือมีศรัทธาไม่พอ ผู้ทำผิดย่อมต้องรับโทษรับบาปไปแต่ผู้เดียวข้อนี้ฉันไม่ติดใจ แต่บุคคลที่หน้ากลัวยิ่งกว่าคือ ผู้สอนผิดๆ มีนักเทศน์ นักแสดงธรรมเป็นจำนวนมาก เทศนาว่าเอาเองตามทิฐิตามกิเลสตัณหาของตนเอง บ้างก็บิดเบือนคำสอนบ้างก็กล่าวตู่ บ้างก็ลบล้างคำสอนของพระศาสดา บางท่านเทศน์ไปลบหลู่พระพุทธเจ้าไปแล้วก็มีชื่อเสียงโด่งดัง บางท่านเทศน์ไปลบหลู่พระไตรปิฎกไปแล้วก็มีชื่อเสียงโด่งดัง

            บางท่านเทศน์อวดคุณวิเศษที่ไม่มีจริงในตนไป,ประจบชาวบ้านไปแล้วก็มีชื่อเสียงโด่งดัง ท่านเหล่านี้ตนเองจะตกนรกแล้วยังพาผู้ฟังที่เชื่อตามตกนรกไปด้วย ส่วนนักเทศน์นักแสดงธรรมที่ยกย่องสรรเสริญพระพุทธเจ้า ยกย่องสรรเสริญพระไตรปิฎกหาได้ยาก แม้ชาวพุทธไทยก็เช่นกันส่วนมากจะถามกันว่า " อาจารย์นั้นสอนอย่างไร อาจารย์นี้สอนอย่างไร? " น้อยคนนักที่จะถามว่า " พระพุทธเจ้าสอนอย่างไร? " และชาวพุทธไทยส่วนมากทีเดียวที่ไม่รู้จักพระไตรปิฎกอันเป็นคัมภีร์ของพระพุทธศาสนาที่ชาวพุทธทั่วโลกต้องศึกษา

 

             
            อีกประการหนึ่งที่ฉันสลดใจมากที่เห็นวงการสงฆ์ไทยแตกเป็นนิกายต่าง ๆ และอีกหลาย ๆ อย่างที่เป็นข่าวอยู่ ในเมื่อแต่ละฝ่ายไม่ลงโบสถ์ร่วมกัน ไม่ทำสังฆกรรมร่วมกัน ก็เป็นสังฆเภทนั่นเองเป็นอนันตริกรรมเป็นบาปอันหนักที่ผู้มีฤทธิ์ใด ๆ ช่วยเหลือไม่ได้ คนจะดีหรือชั่วนั้นเป็นที่ตัวบุคคลไม่ใช่เป็นที่ชื่อพรรคชื่อพวก เมื่อมีการแตกกันเสียแล้วย่อมมีความเกลียดชังกัน ลบหลู่ดูหมิ่นกัน เมื่อนั้นความเสื่อมแห่งพระพุทธศาสนาย่อมตามมา พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎกว่า " ผู้ใดทำสงฆ์ที่สามัคคีกันแล้วให้แตกกันผู้นั้นจะตกนรกนาน ๑ กัป ผู้ใดทำให้สงฆ์ที่แตกกันแล้วให้สามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันผู้นั้นจะได้ขึ้นสวรรค์นาน ๑ กัป " ( ๑ กัป หมายถึงระยะเวลาที่ยาวนาน โดยนับตั้งแต่โลกเกิดจนโลกพินาศ หนึ่งครั้ง เรียกว่า ๑ กัป )


   
 
 

               เคยได้ยินเสียงเล่าลือถึงพระภิกษุผู้เก่งผู้วิเศษบ้างเหมือนกันแต่ไม่สนใจ ไม่อยากเห็น เพราะได้อ่านประวัติของพระอรหันต์ผู้ได้อภิญญาซึ่งเก่งกว่ามากมายในพระไตรปิฎกแล้ว ที่อยากพบอยากเห็นยิ่งกว่าคือพระภิกษุรูปใดที่เคร่งครัดรักษาสิกขาบทได้ ๒๒๗ ข้อนั้นต่างหาก พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ว่า " ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อเราปรินิพพานแล้วเธออย่าคิดว่าศาสดาของเธอจะไม่มี ดูก่อนภิกษุทั้งหลายพระธรรมและพระวินัย (พระไตรปิฎก) อันเราตรัสไว้ดีแล้วจะเป็นศาสดาแทนเรา." ดังนั้นฉันจึงไม่คิดจะเสาะแสวงหาอาจารย์อื่นใดเลย

             จวนออกพรรษาฉันชักชวนพระภิกษุด้วยกันออกธุดงค์แสวงหาความสงบความวิเวกก็ไม่มีใครไป เมื่อออกพรรษาได้ไม่นานฉันได้เข้าไปลาท่านเจ้าอาวาส ท่านไม่ว่าอะไร ท่านพูดสั้น ๆ ว่า " เกษตร…อย่าทำให้เสียชื่อนะ." ฉันน้อมรับใส่เกล้าใส่กระหม่อมไว้ไม่ลืม ออกจากวัดแล้วก็เที่ยวไปตามภูเขา, ตามถ้ำ,ตามป่าช้าแสวงหาที่สงบสงัดปฏิบัติธรรมเจริญสมาธิภาวนาตามที่ได้ศึกษามาจากพระไตรปิฎก พบวัดไหนสำนักไหนมีความสงบพระภิกษุสงฆ์ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบก็อยู่จำพรรษาด้วย ขณะเดียวกันก็ช่วยงานวัด เช่น การก่อสร้าง วาดภาพฝาผนัง ปั้นรูปปั้นในพระพุทธศาสนา ซึ่งสมัยเป็นนักเรียนชอบด้านนี้และมีฝีมือทางศิลป์อยู่ ทุกหนทุกแห่งที่ไปมักสร้างผลงานไว้ งานพระศาสนานี้ถือว่าเป็นงานใหญ่มีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่ เป็นงานที่ทำให้โลก คิดถึงงานที่ทำไว้ทีไรปลื้มใจทุกที

              ยังจำได้ว่าเมื่อแม่ยังไม่ตายท่านได้แบ่งที่ดินอันเป็นมรดกให้แปลงหนึ่ง รู้สึกเหมือนมีอะไรผูกมัดอยู่ยังไม่เป็นอิสระอย่างแท้จริง จิตก็ไม่สงบจึงกลับไปบ้านเพื่อยกที่ดินคืนให้พ่อ จากการที่ออกจากบ้านไปมาทำค้าขายเป็นเวลานาน มีเงินมีทองแล้วไม่เคยส่งข่าว ไม่เคยไต่ถามทุกข์สุขใครเลย ไม่เคยส่งเงินไปบ้านเลย เมื่อไปถึงบ้านพบพ่อ พ่อพูดว่า " ไปมีความสุขอยู่คนเดียว ไม่คิดถึงใครบ้างเลย " ฉันรู้สึกสำนึกผิดและอับอายมาก ได้จัดการโอนโฉนดที่ดินให้เรียบร้อยแล้วก็ลาทุกคนออกมา เมื่อออกจากบ้านมาแล้วยังคิดถึงบ้านอยู่อีก ๗ วันจึงหาย

             บัดนี้ความใฝ่ฝันเมื่อครั้งเป็นเด็ก เคยฝึกเอาไว้เมื่อยังเป็นเด็กที่อยากใช้ชีวิตในป่าเป็นจริงแล้ว หรืออาจเป็นบุญเก่าบารมีเก่าที่ชาติก่อนเคยเป็นฤษีหรือเป็นนักพรตอยู่ตามป่าตามเขามาก่อน ชาตินี้จึงชอบป่าชอบภูเขา ขณะที่ปฏิบัติธรรมอยู่ตามป่าตามภูเขารู้สึกเหมือนอยู่ในโลกทิพย์ เป็นโลกแห่งความบริสุทธิ์ อิสระเสรี ไม่ต้องวิตกกังวลกับสิ่งใด ๆ ในป่าจะมีกลิ่นไอของป่า มีเสียงหรีดหริ่งเรไรอันเป็นเสียงธรรมชาติที่น่ารื่นรมย์ เป็นที่ ๆ พระอรหันต์และผู้ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายส้องเสพ ในป่ามีความสะอาดแม้ไม่ได้อาบน้ำเป็นเดือน ๆ ก็ไม่เหนียวตัวเหมือนอยู่ในเมือง การปฏิบัติธรรมก็มีอารมณ์สงบตั้งมั่นดี

    พบเขาหินเทิน
     
 

               ฉันได้ดินธุดงค์ไปตามที่สงบสงัดหลายแห่ง ใน พ.ศ. ๒๕๒๔ จำพรรษาอยู่เขา กระได อำเภอเมืองจังหวัดประจวบฯ ซึ่งครั้งนั้นเป็นเพียงที่พักสงฆ์ ฉันได้สร้างกุฏิ, ศาลา, และรูปปั้นไว้ได้อยู่ที่นั่น ๒ ปี ออกจากที่นั่นคิดจะจาริกไปยังประเทศพม่าอยากไปแดน พุทธภูมิในอินเดียไม่คิดจะกลับ มีพระภิกษุ ๒ องค์ แม่ชี ๓ รูป ติดตามไปด้วย เดินไปตาม ถนนสายหนองบัว ด่านสิงขร ผ่านหมู่บ้านมะขามโพรงเห็นกลุ่มหินขนาดใหญ่ตั้งอยู่บ้าง ซ้อนกันอยู่บ้างเป็นกลุ่ม ๆ หลายกลุ่มท่ามกลางไร่สับปะรด คิดว่าสวยดี แต่ไม่คิดจะอยู่ พากันเดินต่อไปจนเวลาบ่ายมีเจ้าของโรงเลื่อยชาวไทยที่ไปทำไม้ในเขตประเทศพม่าขับรถ คืนนั้นพักอยู่ในโรงเลื่อยใน พม่า ในคืนนั้นฉันเกิดความสังหรณ์ใจทั้งคืนว่า " ตามภูเขาเล็ก ๆ แถวบ้านมะขามโพรง น่าจะมีถ้ำ " อยากจะกลับไปดูอีกที

 
            รุ่งขึ้นเช้าเป็นวันที่ ๒๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๖ หลังจากเจ้าของโรงเลื่อยเลี้ยงอาหารเช้าแล้วได้ลาเขาออกเดินทาง เมื่อไปถึงทาง ๓ แพร่ง ทางหนึ่งเข้าไปในพม่าอีกทางหนึ่งกลับเมืองไทย ผู้ติดตามทุกคนเคี่ยวเข็ญให้เดินทางต่อไปแต่ฉันก็พากลับเมืองไทยทุกคนก็ตามกลับด้วยความเกรงใจ เดินทางมาถึงหมู่บ้านมะขามโพรงเป็นเวลาบ่าย ได้แวะพักหลบแดดอยู่ที่ศาลาข้างทางแห่งหนึ่ง( เวลานี้พังหมดแล้ว )ได้เห็นเด็กกลุ่มหนึ่ง จึงถามพวกเด็ก ๆ ว่า " แถวนี้มีถ้ำไหม? " พวกเด็ก ๆ ตอบว่า " มี " จึงให้พวกเด็กพาไป

           พวกเด็กพาเดินผ่านไร่อ้อยไร่สับปะรด ถึงเขาหินเทินอันเป็นกลุ่มหินขนาดใหญ่ตั้งซ้อนกันอยู่คล้ายถ้ำ ขณะที่เดินขึ้นสู่ปากถ้ำมีความรู้สึกคุ้นเหมือนเคยอยู่มาก่อน คิดว่า " คงมีอะไรดลใจให้มาพบเข้า " เมื่อขึ้นไปดูบภูเขาเห็นหินก้อนมหึมาตั้งอยู่บ้างซ้อนกันบ้างทั่วไปเป็นธรรมชาติที่สวยงามและอัศจรรย์ มีบรรยากาศศักดิ์สิทธิ์ไม่เหมือนที่ไหน มีความสงบสงัดไกลบ้านคน ไกลความเจริญทางด้านวัตถุเหมาะแก่การปฏิบัติธรรม คิดว่า " เราเจอสถานที่ ๆ ดีที่สุดแล้ว " จึงตกลงใจอยู่ที่นี่ ต่อมาอีก ๓ วัน พระภิกษุที่ติดตามมา ๒ องค์ได้ลาเข้าไปในเขตพม่าใหม่ ส่วนแม่ชีทั้ง ๓ อยู่จำพรรษาด้วยกันพรรษาหนึ่งแล้วก็ลาจากไป ฉันจึงอยู่ที่นี้ผู้เดียวอย่างสงบ

             ครั้งนั้นที่นี้มี ไก่ป่า, นกกระทา, กระแต,เต่า,ตะกวด, งู เป็นจำนวนมากต่างก็เดินบ้าง วิ่งบ้าง เลื้อยบ้าง คลานบ้าง อยู่ทั่วไป พวกไก่พวกนกก็พากันขันพากันร้องกันให้แซ่ดไปหมด มักมีคนมาล่ามาดักมายิงเอาไปบ่อย ๆ จนในที่สุดสัตว์ต่าง ๆ เหล่านี้ก็ค่อย ๆ หมดไป. มีคนแถวนั้นเล่าให้ฟังว่า " ที่เขานี้จะมีพระธุดงค์มาพักมาปฏิบัติธรรมไม่ขาด " ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าว่า " เมื่อสัก ๓๐-๔๐ ปีมาแล้ว ที่นี้ในเวลาเย็นเวลาค่ำจะมีเสียงมโหรี เสียงดนตรีทิพย์บรรเลงขับกล่อมทุกวัน นานวันเข้าต่อ ๆ มาก็หายไป
 

 

            เขาหินเทินเป็นกลุ่มหินมีขนาดประมาณ ๑๐๐ ไร่ ไม่ใช่อุทยาน ไม่ใช่ที่ๆ อยู่ในความคุ้มครองของกรมป่าไม้ เป็นเพียงที่รกร้างว่างเปล่าที่ชาวบ้านทำประโยชน์ไม่ได้แล้ว แต่ฉันเห็นประโยชน์มหาศาลจากความงามความมหัศจรรย์ของธรรมชาติที่หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้วจึงพาชาวบ้านที่มาทำบุญช่วยกันพัฒนาเขานี้ เช่น ขุดปรับแต่งดิน ปรับแต่งพื้นที่ จัดระเบียบก้อนหินให้เหมาะสมงดงาม สร้างกุฏิ ศาลา สร้างแทงค์น้ำ สร้างห้องน้ำ จนมีความสะดวกสบายแต่ก็รักษาความเป็นธรรมชาติไว้ด้วย มีการปลูกต้นไม้เพิ่มขึ้นโดยรอบ เมื่อมาถึงที่นี่ใหม่ ๆ ฉันบอกชาวบ้านว่า " ต่อไปคนกรุงเทพฯจะมาดู "

              ต่อมา พ.ศ. ๒๕๒๘ มีนายทุนชาวไต้หวันทำเรื่องขอสัมปทานตัดหินที่เขาลูกนี้และกลุ่มหินบริเวณหมู่บ้านมะขามโพรงโดยรอบเพื่อทำหินประดับส่งขายต่างประเทศ เนื่องจากหินเหล่านี้มีลายสวยงาม ฉันได้ต่อสู้คัดค้านจนนายทุนเอาไม่ได้ ฉันจำพรรษาที่นี่อย่างสงบเรื่อยมา บางครั้งก็มีพระภิกษุที่ต้องการปฏิบัติธรรมในที่สงบมาพักอาศัยอยู่ด้วย  ตั้งแต่

  มาอยู่ที่นี่ใหม่ ๆ ก็มีญาติโยมมาทำบุญและถือศีลอุโบสถทุกวันพระไม่ขาด ฉันก็อบรมสั่งสอนให้รู้จักการเจริญสมาธิภาวนา แนะนำให้ทุกคนรู้จักพระไตรปิฎก อยู่ที่นี่มาก็มีอุปสรรคบ้างได้ทำเฉยเสีย ไม่รับทราบ ไม่โต้ตอบอดทนข่มใจไว้ ถือว่าเป็นเวรเป็นบาปเก่าที่เราเคยก่อไว้ แต่แล้วก็เบาบางลง

             ปี พ.ศ. ๒๕๔๔ พิจารณาเห็นว่าอนาคตมีความไม่แน่นอนที่นี้ควรเป็นวัดให้เป็นหลักฐานเสียที จะได้เป็นที่พึ่งพิง เป็นที่พักอาศัยแก่ผู้แสวงหาหนทางพ้นทุกข์ แก่ชาวพุทธผู้แสวงหาความสงบได้มาประพฤติปฏิบัติธรรม จึงได้ปรึกษากับญาติโยม อุบาสกอุบาสิกา และผู้มีศรัทธาถึงการจัดซื้อที่ดินโดยรอบเขาเพื่อสร้างวัด เพียงเอ่ยปากก็มีผู้ตอบสนองด้วยดี จึงพากันไปปรึกษาพระเถระชั้นผู้ใหญ่และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ทุกท่านในจังหวัดก็ได้รับความสนับสนุนเต็มที่ แล้วตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อจัดหาทุนดำเนินการ จากนั้นก็มีผู้เลื่อมใสศรัทธามาร่วมประสานงานเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เป็นที่น่ายินดี
 
 

              ฉันได้รจนาไว้เป็นหลักฐานดังนี้ ขอสัตว์โลกทั้งปวงจงมีความสุขความเจริญโดยทั่วกันทุกท่านเทอญ

 
   



วันที่ ๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๕   
พระเกษตร ปคุโณ
      

 

    

 
หน้าแรก I ประวัติหลวงพ่อเกษตร I วัดเขาหินเทิน I ภาพกิจกรรมวัดเขาหินเทิน I ธรรมะโดยหลวงพ่อเกษตร I กระดานกระทู้ธรรม l ติดต่อกับเรา
Copyright © 2003  Wat Khaohinturn All rights reserved
Designed & Managed by : flmonline.net