วันหนึ่งขณะที่เดินเล่นอยู่ในวัด มีสามเณรองค์หนึ่งอายุประมาณ
๑๔-๑๕ ปี    ไม่เคยรู้จักกันและไม่เคยเห็นมาก่อนเดินเข้ามาหาแล้วชัก
ชวน ว่า " เกษตร ไปเที่ยวบ้านเณรไหม?" ฉันรับคำทันที สามเณรองค์
นั้นก็ชวนสามเณรอายุรุ่นราวคราวเดียวกันอีกองค์หนึ่งไปด้วยซึ่งเป็น
สามเณรบวชใหม่  สามเณรองค์นี้ไม่เหมือนคนทั่วไปคือมีผิวขาวเผือก
ผมขาว ขนขาวหมด รวมเป็น ๓ คนขึ้นรถถีบ ๓ ล้อไป ฉันเป็นเด็กเล็ก
นั่งบนตักสามเณรเบียด ๆ กันหน่อย

 
 


            หมู่บ้านชื่อว่า " บ้านปรุ " อยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟนครราชสีมาเท่าไร เมื่อไปถึงบ้านของสามเณรแล้ว ญาติโยมได้ออกมาต้อนรับพาขึ้นไปบนเรือน ท้องถิ่นนั้นเป็นสวนหมาก เรือนมีเสาสูงตัวเรือนโล่งครึ่งหนึ่ง พื้นด้านยกสูงมีฝากั้น ๓ ด้าน ฝาด้านหลังมีหน้าต่าง ๑ บาน สามเณร ๒ องค์กับฉันนั่งบนพื้นระดับสูง โดยสามเณรเผือกนั่งกลาง ฉันนั่งอยู่ปลายแถว พื้นระดับต่ำมีญาติโยมนั่งอยู่ประมาณ ๒๐-๓๐ คน บ้างก็เอ่ยปากขอหวยแต่สามเณรไม่ได้ให้ บ้างก็ทักทายพูดคุยต่าง ๆ ฉันเป็นเด็กเล็กไม่รู้ประสานั่งเสมอสามเณรผผู้มีศีลหยอกล้อสามเณรเผือกยุกยิก ๆ เหมือนลิงแต่ไม่ได้แตะเนื้อต้องตัวสามเณร สามเณรเผือกนั่นหันหน้ามาทางฉันเฉยอยู่

             ขณะนั้นเป็นเวลาบ่ายแดดจัด สักครู่เดียวเกิดมีเสียงฟ้าร้องคล้ายฝนจะตกฟ้าเริ่มมืดครึ้มแล้วมืดมิดฝนตกหนักมีเสียงฟ้าร้องและฟ้าแลบตลอดเวลา มองออกไปด้านนอกเรือนมืดเป็นสีดำ ต่อมามีเสียงฟ้าร้องดัง " ครืน ! " ทางหน้าต่างด้านหลังของสามเณรซึ่งห่างราว ๒ วา เปิดอยู่ ทุกคนหันไปมองตามเสียง ปรากฏมีสายฟ้าโผล่ออกมาทางด้านข้างขวาของหน้าต่างไม่ได้ออกมาจากด้านบนฟ้าแล้วเลี้ยวเข้ามาภายในท่ามกลางสีดำจากภายนอก สายฟ้าสีเงินยืดยาวเข้ามาทางสามเณรเผือกกับฉันปลายสายฟ้าเป็นเส้นแฉกเหมือนรากไม้กระดิกไปมาอยู่ระหว่างกลางฉันกับสามเณรเผือก

             สายฟ้าอยู่ห่างแค่คืบโดยไม่มีความร้อน ฉันมองดูปลายสายฟ้ากระดิกได้และดูหน้าสามเณรเผือกท่านก็มองดูสายฟ้าทำตาปริบ ๆ ทุกทุกคนต่างก็มองดูด้วยความฉงนแต่ไม่มีใครแสดงความตกใจหรือตื่นกลัวชั่วครู่หนึ่ง ทุกอย่างก็หายเป็นปกติ ฝนหยุดสนิทฟ้าก็สว่างเหมือนเดิม ฉันซึ่งกำลังนั่งซนอยู่ก็หยุดซนนั่งเรียบร้อยตั้งแต่บัดนั้น จากนั้นไม่มีใครพูดถึงเหตุการณ์นั้นอีก หลังจากกลับมาจากบ้านสามเณรแล้วฉันก็ลืมเหตุการณ์นั้นหมดและไม่ได้พูดให้ใครฟัง สามเณรองค์นั้นก็ไม่ได้พบปะกันอีกเลย มาระลึกถึงเหตุการณ์นั้นอีกก็เมื่อแก่ ทบทวนดูเหมือนฟ้าดินต้องการให้เราเห็นความสำคัญของนักบวชว่า " แตะต้องไม่ได้ เล่นไม่ได้แม้สามเณรบวชใหม่!"
             
             " สามเณรองค์นั้นเป็นใคร? เป็นมนุษย์ เป็นอมนุษย์ หรือเป็นพระอรหันต์มาปรากฏเพื่ออนุเคราะห์ลูกโดยเฉพาะ บัดนี้ท่านอยู่หนใด เป็นเวลานานนักหนาแล้วที่ลูกลืมเสียสนิท อะไรหนอมาบังดวงตาบังดวงใจของลูกเพิ่งมาระลึกได้เอาเมื่อแก่ กายกรรม วจีกรรม และมโนกรรมใดที่ลูกได้ล่วงเกินท่าน ทำไม่ดีไม่งามกับท่านลูกกราบขอขมาขอท่านจงงดโทษ ลูกขอยึดถือท่านว่าเป็นที่พึ่งที่ระลึก."

            เย็นวันหนึ่งพ่อพาออกไปเที่ยวตลาด ขณะที่กำลังเดินผ่านกลางวัด มีชายคนหนึ่งเดินตามหลังมาแล้วพูดว่า " พี่… พระก็คือคนนี่แหละนะพี่ " พ่อของฉันไม่พูดยังเดินต่อไป เขาเดินตามเข้ามาจนทันแล้วพูดอีกว่า " พี่ ๆ … พระก็คือคนนี่แหละนะพี่ " พ่อของฉันก็เฉยอีกไม่รับหรือโต้ตอบ เขาก็เดินเลยผ่านไป ขณะนั้นฉันซึ่งเป็นเด็กเล็กแต่เข้าใจความหมาย ทำใจเป็นกลางอยู่คิดว่า " คนคนนี้คงไม่มีศรัทธาในพระพุทธศาสนาหรือไม่ก็เป็นคนศาสนาอื่น "

 


 

            เมื่อฉันอายุสักประมาณ ๑๒-๑๓ปี พี่ชายจบการศึกษาแล้วและมีภรรยาแล้วฉันเห็นพี่ชายมีภรรยารู้สึกไม่เห็นดีตรงไหน คราวหนึ่งมีญาติฝ่ายภรรยาของพี่ชายมาอาศัยอยู่ด้วย ฉันเป็นคนใจแคบไม่รู้จักเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เห็นแก่ตัว ขณะนั้นมีความรู้สึกตัวอยู่ชัดๆว่า มีความตระหนี่ที่อยู่ กลัวเขาจะมาเบียดเบียนไม่อยากให้เขาอยู่ ได้แสดงอาการมึนตึง ไม่แสดงอาการเป็นมิตรกับเขา ในที่สุดเขาคงคับใจอยู่ไม่ได้จึงหนีไป ด้วยผลของกรรมอันเป็นบาปนั้นทำให้ฉันต้องเดือดร้อนจนตลอดชีวิต คือจะไปอยู่ที่ไหนก็ไม่มีความสุข มีเรื่องให้เดือดเนื้อร้อนใจมีเรื่องอันไม่พึงปรารถนา

 

            เข้าสู่วัยรุ่นชอบศึกษาค้นคว้า มักอ่านหนังสือประวัติบุคคลสำคัญประวัตินักวิทยาศาสตร์ นักผจญภัย ทำให้ได้รู้ว่าอะไรดี อะไรไม่ดี อะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ เป็นตัวอย่างการดำเนินชีวิต เป็นเครื่องช่วยตัดสินใจ เมื่ออ่านแล้วมีความชอบใจอยากเป็นอย่างนั้นบ้าง สมัยเป็นนักเรียนมัธยมมีหนังสือเรียนภาษาอังฤษเล่มหนึ่งประกอบด้วยเรื่องสั้นหลายเรื่อง มีอยู่เรื่องหนึ่งชื่อ "THE PILGRIMS " เป็นเรื่องของนักพรตนักบวชผู้เบื่อโลกทิ้งบ้านทิ้งครอบครัวทิ้งทรัพย์สมบัติไปใช้ชีวิตสันโดษมักน้อยไม่สะสมข้าวของเป็นผู้ถือศีล ไม่มีบ้านเรือนพเนจรร่อนเร่ไป โดยอาศัยอาหารที่ผู้อื่นให้เลี้ยงชีพโดยมุ่งหวังการบรรลุธรรมวิเศษ ฉันอ่านแล้วอยากจะใช้ชีวิตอย่างนี้

 

            ขณะที่เป็นนักเรียนชั้นมัธยม ๔ โรงเรียนเป็นโรงเรียนชายล้วน โต๊ะเก้าอี้เป็นแบบคู่คือต้องนั่งติดกัน๒คน วันหนึ่งนั่งดูขาของเพื่อนซึ่งนุ้งกางเกงขาสั้นเหมือนกัน เห็นขาของเพื่อนขาวเต่งตึงแต่มีต่อมเหงื่อผุดเป็นเม็ดๆอยู่ทั่ว ตามพื้นผิวก็เป็นไขเป็นมันซึ่งถ้าดูไกลๆจะไม่เห็น พิจารณาดูเห็นว่า " ร่างกายของคนเรานี้ช่างน่าเกลียดหนอ ". เกิดความขยะแขยงต้องคอยระวังไม่ให้ขาของเรากางไปชนขาของเพื่อนตั้งแต่นั้นมาไม่อยากแตะเนื้อต้องตัวมนุษย์

 

            โรงเรียนมัธยมที่เรียนครั้งนั้นอยู่ใกล้กับวัด ทุกเย็นวันศุกร์ครูใหญ่จะพาครูและนักเรียนทั้งหมดทุกชั้นไปสวดมนต์และฟังเทศน์ในวัดเป็นเวลาประมาณ ๑ ชั่วโมง ตลอดเวลาที่ฟังเทศน์อยู่ฉันไม่รู้เรื่องเลย ได้ยินเสียงจากเครื่องขยายเสียงดัง " ฉอดๆ " แต่ก็ทนพนมมือฟังจนหมดเวลาถึงแม้จะเมื่อยก็ทนเอาถือว่าได้บุญ ครูอาจารย์ท่านได้ปลูกฝังพระพุทธศาสนาให้เราซึ่งมีผลต่อมาในภายหลังมาก

   

 
 

             มีหมู่บ้านเช่าซึ่งอยู่ใกล้ๆมีคนหลายอาชีพมาเช่าอาศัยอยู่ในจำนวนนี้มีพวกทหารหนุ่มๆอยู่หลายคน เย็นวันหนึ่งขณะที่ทหารหนุ่มโสดคนหนึ่งกำลังขี่รถจักรยานกลับจากเลิกงาน ขณะนั้นมีแม่บ้านคนหนึ่งยืนโผล่หน้าต่างบ้านของตนพูดกระเซ้าว่า " เมื่อไรจะมีเมียสักที? " ทหารหนุ่มคนนั้นพูดตอบว่า " มีทำมั๊ย…เมีย! " พลางปั่นจักรยานเลยไปฉัน ได้ยินแล้วชอบใจคำตอบนี้มาก
             
             เคยคิดอยู่ว่า ทำไมคนเราต้องมีลูกมีเมีย ทำไมต้องเลี้ยงลูกเลี้ยงเมีย ทำไมต้องมีเจ้านายตัวน้อยๆมาขี่คอบังคับใช้ ทำไมต้องมีพันธะ ทำไมต้องให้ใครมากำหนดกฏเกณฑ์ชีวิต ทำไมต้องห่วงหน้าห่วงหลัง ทำไมไม่อยู่คนเดียวให้สบายใจ อยากไปไหนก็ไป ไม่อยากไปก็ไม่ต้องไป อยากทำอะไรก็ทำ ไม่อยากทำอะไรก็ไม่ต้องทำ

   
 
 

             บางครั้งเกิดความกลุ้มใจไม่สบายใจก็ไปวัด นั่งตามต้นไม้บ้าง นั่งตามขอบสระบ้าง ตามขอบสะพานหรือที่ๆมีความสงบ เห็นชัดว่าความทุกข์ใจความกลุ้มใจหายไปได้ ต่อมาเมื่อมีเรื่องให้กลุ้มใจก็จะไปนั่งอยู่ตามวัดเป็นประจำ เวลาอ่านหนังสือสอบ ก็ไปอ่านบนต้นไม้ในวัด รู้สึกจำได้ดี นานๆเข้ามีความคิดอยากจะไปอยู่ตามป่าตามภูเขาคนเดียวอาศัยธรรมชาติในป่าเลี้ยงชีวิต กาลเวลาผ่านไปเริ่มเห็นบ้านเป็นที่ไม่สงบ มีแต่เรื่องน่ารำคาญ เกิดเบื่อบ้านเบื่อสังคมเมืองเบื่อความสกปรกความไม่เป็นระเบียบของบ้านเมือง เบื่อความวุ้นวายของคนเมือง เบื่อการแต่งตัว เห็นทุกสิ่งทุกอย่างวุ่นวายไปหมด อยากเห็นป่าอยากเห็นภูเขาอยากเห็นแต่ความเวิ้งว้างของธรรมชาติไม่อยากคบค้าสมาคมกับใครจนบางครั้งนักเรียนด้วยกันพูดว่า ฉันวางท่าบ้าง หยิ่งบ้าง

            ในตัวเมืองนครราชสีมาเป็นพื้นราบไม่มีภูเขาเกิดมาไม่เคยเห็นภูเขา บางครั้งอยากเห็นภูเขาก็ไปขึ้นต้นมะขามใหญ่ขึ้นไปบนยอดสูงมองไปสุดขอบฟ้าโดยรอบ เห็นภูเขาลูกเล็กๆลูกเดียวลางๆอยู่สุดขอบฟ้ารู้สึกตื่นเต้นมาก

            ต่อมาหลังจากโรงเรียนเลิกกลับบ้านรับประทานอาหารเย็นเสร็จแล้วก็ออกจากบ้านโดยไม่บอกใครไปเที่ยวนอนตามสวนสาธารณะบ้าง ตามศาลาวัดบ้างตามอาคารร้างบ้าง แต่ผู้เดียวจนรุ่งเช้าจึงกลับบ้าน และเคยหนีออกจากบ้านไปต่างจังหวัดครั้งหนึ่ง เพื่อเป็นการฝึกไว้

   
 
 

             เมื่ออายุ ๑๖ ปี ไปเรียนชั้นมัธยม ๖ ที่จังหวัดชัยนาทอยู่กับพี่สาว ต่อมาพี่สาวคลอดลูกคนแรกก็ต้องช่วยงานเขาเช่น ซักผ้าอ้อมบ้าง ให้นมบ้าง ฯลฯ ไม่ได้คิดอะไร ถือว่าเรามาอาศัยอยู่กับเขาก็ต้องช่วยงานเขาเป็นธรรมดา แต่แล้วพี่สาวก็ต้องจ้างคนเลี้ยงเด็กมาเลี้ยง เพราะงานเลี้ยงเด็กนี้ยุ่งยากไม่มีจบสิ้น งานนี้ได้ความคิดว่า " การมีลูกนี้เหนื่อยยากเสียจริง เราอย่าได้มีกับเขาเลย

            โรงเรียนที่เรียนในครั้งนั้นชื่อ "โรงเรียนชัยนาทวิชัยบำรุงราษฎร์ " เป็นโรงเรียนที่มีแต่นักเรียนชายล้วน ครูประจำชั้นเป็นครูหนุ่มที่มีไฟแรง ท่านมักมีความคิดริเริ่มทำอะไรใหม่ ๆ เสมอ วันหนึ่งท่านแนะนำว่า คนเราไม่ควรพูดคำหยาบ ไม่ควรพูดคำห้วน ๆ ควรพูดแต่คำพูดที่ไพเราะ ควรพูดคำพูดที่มีหางเสียง คำหยาบและคำห้วนเป็นคำพูดที่สังคมไม่ยอมรับ ผู้พูดคำไพเราะไม่เป็นพูดคำที่มีหางเสียงไม่เป็น ย่อมทำงานใหญ่ไม่ได้ เป็นผู้นำของบริวารจำนวนมาก ๆ ไม่ได้ คำพูดที่ไพเราะ คือ ครับ, ผม, ค่ะ, ขา, ดิฉัน, เป็นต้น คำพูดที่มีหางเสียงคือ มีคำว่า ครับ, ค่ะ, ได้โปรด, กรุณา, ฯลฯ ต่อเข้าไปด้วย คำไพเราะและคำพูดที่มีหางเสียงเป็นคำพูดที่น่ารัก มีเสน่ห์ ตรึงใจคน ผู้ได้ยินได้ฟังย่อมประทับใจ ชื่นชมยินดีอยากคบค้าสมาคมด้วย ผู้รู้จักพูดเช่นนี้ย่อมทำงานใหญ่ได้ เป็นผู้นำที่มีบริวารมาก ๆ ได้ ย่อมสามารถจูงใจคน มัดใจคนได้ ขณะเดียวกันท่านก็มีแววตาที่มีความบริสุทธิ์และปรารถนาดี ตั้งแต่นั้นมานักเรียนทุกคนในชั้นเรียนซึ่งแต่ก่อนไม่เคยพูดคำว่า ครับ, ผม แก่กันเลยก็พากันพูดหมดทั้งชั้น

            ในชั้นเรียนฉันมีเพื่อนสนิทอยู่ ๒ คนวันหนึ่งหลังจากสอบเสร็จแล้ววันประกาศผลสอบเมื่อทุกคนทราบผลสอบแล้วก่อนที่จะแยกย้ายจากกัน เพื่อนคนหนึ่งพูดขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุว่า " ผมจะไม่มีเมีย " ทั้ง ๆ ที่ตลอดปีเราไม่เคยพูดเรื่องอย่างนี้กัน ทันใดเพื่อนอีกคนก็พูดออกมาว่า" ผมเหมือนกัน " โดยไม่มีใครบอกเหตุผล ไม่มีคำอธิบาย ทุกคนก็ไม่ต้องการฟังเหตุผลหรือคำอธิบาย ขณะนั้นฉันรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงสวรรค์ เหมือนได้ยินเสียงฟ้าคำราม รู้สึกหัวใจพองโต ไม่พูดอะไรได้แต่ยิ้มในใจคิดอยู่ว่า " เราจะยิ่งกว่านั้นอีก " แล้วแยกย้ายจากกันไม่ได้พบกันอีก

   
 
 

           อายุ ๑๗ ปี ไปเรียนต่อชั้นอุดมศึกษาปีที่ ๑ ที่กรุงเทพฯอาศัยอยู่บ้านญาติซึ่งมีคนอาศัยอยู่มาก ตอนเย็นตอนค่ำมีคนอยู่พร้อมหน้ามีความอึกทึกครึกโครม ครั้นถึงเวลาเช้าก็แยกย้ายกันออกจากบ้านไปหมด วันหนึ่งอยู่บ้านคนเดียวนั่งพิจารนาดูรู้สึกวังเวงเหมือนป่าช้า ธรรมดาบ้านในเมืองหลวงมักอยู่กันอย่างแออัด บ้านแต่ละหลังจะมีรั้วมิดชิดแน่นหนาและสูงชะเง้อดูไม่ถึง มักมีแอ่งน้ำเน่าอยู่ทั่วไป ถึงแม้แต่ละบ้านจะอยู่ติด ๆ กันแต่เจ้าของบ้านแต่ละบ้านจะไม่รู้จักกัน ไม่สนใจกันและกัน ไม่รู้เรื่องซึ่งกันและกัน มีความเป็นอยู่อย่างสะดุ้งผวา หวาดระแวง พิจารณาดูอีกทีรู้สึกว่าบ้านเหมือนคุกเหมือนตะราง เป็นอาณาจักรสี่เหลี่ยมแคบ ๆ กักขังสัตว์ตาบอดให้จมปลักอยู่ รู้สึกว่าบ้านไม่ใช่สถานที่ ๆน่ารื่นรมย์ แต่เป็นสถานที่ที่น่าเกลียดน่าชัง, น่าสะพรึงกลัว, น่าเบื่อหน่าย

   
 
 

             ปีนั้นเกิดความไม่สบายใจในบางเรื่อง ซึ่งก็เกิดจากกิเลสของเราความไม่ดีของเรานั่นเองทำให้การเรียนตกต่ำ เกิดเบื่อหน่ายไม่อยากเรียนหนังสือ ปลายปีรู้ตัวว่าสอบตกแน่จึงหนีออกจากบ้านไปหาทำงานรับจ้าง ทำงานไม่นานก็เบื่อเปลี่ยนงานบ่อย ทำงานแต่ละแห่ง ๒-๓ เดือน บางแห่งทำเดือนเดียวก็มี ทำอยู่รวม ๆ แล้วราว ๆ ๑ ปี เก็บเงินได้ก้อนหนึ่งเอาไปลงทุนซื้อหนังสือการ์ตูนบ้าง หนังสือเพลงบ้างเดินขายตามสถานีรถยนต์ขนส่ง ต่อมาพอมีทุนมากขึ้นเปลี่ยนไปซื้อเสื้อผ้าโหลไปกองขายตามตลาดในต่างจังหวัดเช่าบ้านอยู่บ้าง เช่าโรงแรมอยู่บ้าง

           มีคราวหนึ่งเป็นพ่อค้าเร่ขายผ้าถุงสตรี มีเพื่อนพ่อค้าที่ขายผ้าถุงเหมือนกันคนหนึ่งค้าขายมานานกว่า ชำนาญกว่า มักมีมุขอะไร ๆ มาก เขาเป็นคนใจกว้าง เข้าสังคมเก่ง มีอัธยาศัยดี บางครั้งโคจรมาพบกัน ลงขายในตลาดเดียวกัน หลังเลิกขายของในเวลาเย็น เขามักชวนฉันและเพื่อนพ่อค้าเร่ด้วยกันไปร่วมวงสังสรรค์กันในร้านอาหาร เพื่อนคนนี้เวลารับประทานอาหารเสร็จทุกครั้งเขาจะต้องยกมือไหว้อาหารอย่างสวยงาม ไม่ว่าเขาจะไปรับประทานที่ไหน ร้านไหนก็ตาม ฉันเห็นแล้วเกิดความเลื่อมใสศรัทธาในตัวเขามากซึ่งไม่เคยเห็นใครทำอย่างเขาเลย ในเวลาค้าขายเขาจะเด่นกว่าใคร ขายดีกว่าใครฉันรู้สึกหวั่นไหวมากเมื่อได้ประจัญหน้ากับเขาในตลาด

            บางครั้งฉันลงทุนขายผ้าตัวอย่าง ทำเป็นชิ้น ๆ ไปกองขายในตลาดเคยมีพระภิกษุมาซื้อ ฉันจะถวายท่านไปเลยแล้วไหว้ท่านด้วย ถึงแม้ฉันจะขายอะไรก็ตามถ้ามีพระมาซื้อฉันจะถวายไปทุกครั้งไม่เคยเอาเงินท่าน ความรู้สึกมันบอกตนเองว่า " เราต้องถวายพระ "

            ท่องเที่ยวค้าขายไปตามที่ต่างๆ มักได้พบพ่อค้าเร่รุ่นพี่บ้างรุ่นพ่อบ้างท่านเหล่านั้นเห็นเราเป็นเด็กก็มีจิตเมตตาเอ็นดู ท่านมักให้คำแนะนำอะไรดีๆ มีประโยชน์เสมอฉันรู้สึกขอบคุณและยังคิดถึงท่านเหล่านั้นอยู่ไม่วาย

           ขณะที่เที่ยวค้าขายไปตามต่างจังหวัดไม่เคยสนใจไม่รู้จักวัดไหนดีพระภิกษุองค์ใดดี รู้จักแต่โรงแรมกับโรงภาพยนตร์ วันหนึ่งขณะที่เดินเล่นอยู่กับเพื่อนคนหนึ่ง ขณะที่เดินผ่านไนท์คลับถามเพื่อนว่า "ในนั้นมีอะไร!" เพื่อนตอบว่า " ในนั้นเข้าไปแล้ว มีเท่าไรก็หมด " เพื่อนพูดเพียงเท่านี้ก็เข้าใจทันทีไม่ถามอะไรต่อและไม่เข้าไปในสถานที่เหล่านั้น เพราะไม่นิยมความฟุ่มเฟือยอยู่แล้ว รู้สึกขอบคุณเพื่อนคนนั้นมาก

            ธรรมดาฉันเป็นคนตระหนี่ถี่เหนียวซึ่งรู้ชัดอยู่แก่ใจ ใจแคบไม่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่ใครจนรู้สึกตัวว่าไม่มีใครอยากคบ ตลอดเวลาที่ไปพักตามโรงแรมไม่เคยให้รางวัลแก่พวกเด็กโรงแรมเลย วันหนึ่งเพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่งพูดว่า " เด็กโรงแรมนะ…ให้เงินมันบ้างซี…มันดีใจ " ฉันยอมรับทันทีเห็นเป็นคำแนะนำที่ดี เราควรจะทำตั้งนานแล้ว ตั้งแต่นั้นมาเมื่อใช้เด็กโรงแรมทุกครั้งต้องให้เศษสตางค์ เมื่อจะลาจากโรงแรมก็ให้เงินเด็กโรงแรมเสมอ เห็นผลเลยว่าเขาแสดงความดีใจ สำนึกในบุญคุณ คราวหน้ากลับไปอีกเขาก็ต้อนรับด้วยความยินดี เราเห็นเขาดีใจเราก็ดีใจสบายใจ

 
          
หน้าแรก I ประวัติหลวงพ่อเกษตร I วัดเขาหินเทิน I ภาพกิจกรรมวัดเขาหินเทิน I ธรรมะโดยหลวงพ่อเกษตร I กระดานกระทู้ธรรม l ติดต่อกับเรา
Copyright © 2003  Wat Khaohinturn All rights reserved
Designed & Managed by : flmonline.net