|
|
|
เมื่ออายุ๒๐ปีจะต้องไปเกณฑ์ทหาร
มาย้อนระลึกถึงสมัยเมื่อยังเป็นเด็กเล็กเคยเห็นปกสมุดทำเป็นตาตะราง
ตารางแต่ละช่องมีรูปทหารของชาติต่างๆ แต่งตัวไม่เหมือนกันสะพายอาวุธและถือธงประจำชาติต่างๆ
เกิดความคิดในขณะที่เป็นเด็กเล็กนั้นว่า "
มนุษย์ในโลกนี้ทำไมต้องแบ่งเป็นชาติต่างๆทำไมต้องมีทหารไว้รบกัน
ทำไมต้องรบกัน? " ต่อมาเมื่อฉันเป็นผู้ใหญ่แล้วมีความคิดละเอียดขึ้นอีกว่าเพราะผู้นำสูงสุดของประเทศมีกิเลสตัณหาเกิดความขัดแย้งกัน,
ทะเลาะกันแล้วก็ออกกฏ-หมายบังคับให้ราษฎรต้องเป็นทหารไปรบกัน
โดยอ้างอุดมการณ์สารพัด ปลุกใจให้ฮึกเหิมแล้วก็พากันไปตายทั้งๆที่ทหารของแต่ละฝ่ายไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
ไม่เคยโกรธไม่เคยเกลียดชังกันมาก่อนเลย ควรพิจารณาว่า
" มนุษย์ทุกคนในโลกนี้ต่างก็เป็นเพื่อนร่วมเกิด,ร่วมแก่
ร่วมเจ็บ ร่วมตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น "
อาวุธที่ใช้ประหัตประหารกันนั้ยราคาแพงลิบลิ่วซึ่งได้มาจากภาษีของราษฎรแทนที่จะเอาเงินภาษีไปทำประโยชน์ด้านอื่นที่ยังขาดอยู่และจำเป็นมาก
เช่น โรงเรียน, โรงพยาบาล, ถนน, สะพาน ฯลฯซึ่งเป็นประโยชน์ทางสันติ
ทหารที่ไปรบกันที่รอดตายก็บาดเจ็บ พิการมากมาย
กำลังนอนหยอดน้ำข้าวต้มทางสายยาง โดยเจ้าตัวหมดความรู้สึกใดๆ
จนตลอดชีวิตก็มี แขนขาด, ขาขาด, พิการหลากหลายรูปแบบอยู่ในโรงพยาบาลทั่วประเทศเห็นแล้วสยดสยอง
ก็ต้องเงินภาษีอีก นั่นเองที่เอาไปบำรุงเลี้ยงคนเหล่านี้
โดยใช้คำปลอบประโลมว่า " ผู้กล้าหาญ ผู้มีเกียรติ
"
การรบฆ่าฟันกันเป็นเรื่องของคนยุคป่าเถื่อนดึกดำบรรพ์ที่ยังโง่อยู่
คนและมนุษย์ยุคปัจจุบันเป็นอารยชนเป็นผู้พัฒนาแล้วต่างก็รังเกียจการฆ่าฟันด้วยกันทั้งนั้น
เพราะผิดธรรม ผู้มีปัญญาทั้งหลายไม่อาจยอมรับได้
ประเทศไหนจะเป็นเจ้าโลกจะครอบครองโลกก็ครองไป
ยอมเขาไป ให้เขาไป แผ่นดินทั้งหลายก็ยังอยู่ที่เดิมในโลกนี้เองไม่มีใครเอาไปไหนได้
แม้ผู้มีอำนาจ คนนั้นไม่กี่วันก็ตาย. ถ้าโลกนี้เป็นประเทศเดียวกันปัญหาทุกอย่างก็ยุติ
|
|
|
|
ขณะนั้นการค้าขายกำลังดำเนินไปด้วยดี
เมื่อเห็นความไม่เป็นสาระของทหารเห็นโทษของทหารดังนี้แล้วไม่อยากเป็นทหารเอามาก
ๆ เมื่อใกล้จะถึงวันเกณฑ์ทหารฉันจึงแสวงหาที่พึ่งทางใจ
ได้ไปไหว้พระขอพรตามสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ
อันมีวัดพระแก้วแห่งหนึ่งและวัดอื่น ๆ อีก ๒-๓
แห่งก็ไม่ได้ทำอะไรมากเพียงซื้อดอกไม้ธูปเทียนจากสถานที่นั้นกำหนึ่งไปบูชาพระพุทธรูปและเอาเงินหยอดตู้บริจาคเท่านั้น
ขณะนั้นการค้าขายกำลังดำเนินไปด้วยดี เมื่อเห็นความไม่เป็นสาระของทหารเห็นโทษของทหารดังนี้แล้วไม่อยากเป็นทหารเอามาก
ๆ เมื่อใกล้จะถึงวันเกณฑ์ทหารฉันจึงแสวงหาที่พึ่งทางใจ
ได้ไปไหว้พระขอพรตามสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ
อันมีวัดพระแก้วแห่งหนึ่งและวัดอื่น ๆ อีก ๒-๓
แห่งก็ไม่ได้ทำอะไรมากเพียงซื้อดอกไม้ธูปเทียนจากสถานที่นั้นกำหนึ่งไปบูชาพระพุทธรูปและเอาเงินหยอดตู้บริจาคเท่านั้น
|
|
|
|
|
ฉันออกจากบ้านมานานไม่เคยคิดถึงญาติพี่น้อง
ทั้งไม่ส่งข่าวคราวรู้สึกตัวชัดว่า " เป็นคนใจดำ
" เป็นเหมือนคนไร้ญาติขาดมิตรแต่ก็ทำใจแข็ง
ขณะที่พักตามโรงแรมต่าง ๆ เมื่อพบกับเจ้าของโรงแรมมักเห็นแววตาที่มีเมตตา
ปราถนาดี รู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยเหมือนอยู่ท่ามกลางหมู่ญาติ
เหมือนอยู่ในบ้านของเราเองก็รู้อยู่แก่ใจว่าความรู้สึกนี้ได้มาเพราะมีเงินจ่ายให้เขาเท่านั้น
แต่ก็เป็นสิ่งจำยอม. เมื่อจากไปแล้วก็ยังคิดถึงโรงแรมที่เคยพักอาศัยและอยากกลับไปพักอีก
จะเป็นอย่างนี้เกือบทั้งหมด หรือเป็นธรรมดาของเจ้าของโรงแรมและพนักงานจะต้องมีใจรักและมีทัศนคติที่ดีต่อลูกค้า,
ต่อแขกที่มาพักอยู่แล้ว
ครั้งหนึ่ง
ณ โรงแรมแห่งหนึ่งฉันได้พบหนังสือธรรมเล่มบาง
ๆ เล่มหนึ่งจำได้ว่ามีปกสีเขียว ว่างอยู่บนโต๊ะในห้องพัก
หยิบมาอ่านดูมีชื่อเรื่องว่า " จูฬกัมวิภังค์สูตร
" เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนสาเหตุที่ทำให้คนเราเกิดมาแตกต่างกัน
เช่น บางคนเกิดมาสวย บางคนเกิดมาไม่สวย บางคนเกิดมารวย
บางคนเกิดมาจน เป็นต้นซึ่งเขาก็คัดลอกมาจากคัมภีร์พระไตรปิฎก
เมื่ออ่านจบแล้วรู้สึกเหมือนได้พบแสงสว่าง แต่ก่อนไม่เคยรู้เรื่องอย่างนี้เลย
สันดานตัวเรามีแต่ความขี้โลภ ขี้โกรธ ตระหนี่ถี่เหนียว
อิจฉาริษยา นิสัยไม่ดีทั้งหลายมีครบ เมื่ออ่านพระสูตรนี้แล้วเชื่อทันที
เข้าใจ หมดความสงสัย เปลี่ยนนิสัยสันดานทันที
เมื่ออ่านจบแล้วมีความชื่นชม ปลื้มปีติแล้ววางไว้ที่เดิมเพื่อให้ผู้อื่นได้อ่านได้รู้สิ่งที่มีประโยชน์อย่างนี้บ้าง
ตลอดเวลาที่พักตามโรงแรม
ของใช้บางอย่าง เช่น ผ้าขนหนูเช็ดตัว ผ้าห่มนอนของโรงแรมฉันจะไม่ใช้
จะมีของส่วนตัวติดตัวไปเสมอซึ่งเป็นอย่างบางเบาเหมาะแก่การเดินทาง.
สมัยก่อนน้ำดื่มของโรงแรมจะใช้ขวดแก้วเก่ากรอกน้ำใหม่แช่ตู้เย็นจ่ายให้แขก
ไม่มีขวดน้ำสำเร็จรูปเหมือนปัจจุบัน ฉันไม่แตะต้อง
ถ้าต้องการใช้จะเอาเศษกระดาษรองมือจับ เพราะกลัวติดโรคจากคนร้อยพ่อพันแม่ที่มาจากทุกสารทิศ
ไม่รู้ว่าใครดีใครชั่ว ใครเป็นโรคอะไรมาบ้าง
|
|
|
|
|
เมื่ออยู่ในวัยหนุ่มจะไม่เล่นหูเล่นตากับสตรี
เพราะกลัวเขาจะผูกมัดให้สิ้นอิสระภาพ จะไม่คบคนที่เป็นนักเลงหรือคนที่พูดจาไม่สุภาพ
จะเลือกคบคนที่มีศีลธรรมพูดจาสุภาพซึ่งทำให้ได้รับคำแนะนำที่ดี
ๆ ที่จำเป็นต้องปฏิบัติในชีวิตประจำวันทำให้เอาตัวรอดมาได้ไม่ตกไปสู่ที่ชั่ว
ตั้งหน้าตั้งตาค้าขายมานาน
แต่ก่อนนี้เคยคิดว่า " ถ้าเรามีเงินไม่กี่ร้อยบาทก็จะดีใจและพอใจ
" เดี๋ยวนี้มีเงินเป็นกอบเป็นกำ กลับไม่พอใจมีแต่ความโลภมากอยากได้ยิ่งขึ้น
อยากเป็นเศรษฐี เคยคิดจะไปเยี่ยมพ่อเยี่ยมญาติสักทีแต่ก็คิดว่า
" ให้รวยกว่านี้ก่อนเถอะ " ผลัดผ่อนมาตลอด
ขณะที่มีเงินมีทองไม่เคยส่งไปให้พ่อให้พี่หรือให้ผู้มีพระคุณใดๆ
เลย เคยเห็นอาซิ้มอาซ้อเขายังไปวัดไปทำบุญทำกุศลในวันตรุษวันสารทวันเทศกาลสำคัญๆ
แต่ตัวเราไม่เลยกลัวขาดรายได้ ตั้งใจจะเอาเงินเขาอย่างเดียวไม่ยอมทำบุญทำกุศลให้เกิดศิริมงคลแก่ชีวิต
สันดานตระหนี่มีมาก
ต่อมาชีวิตเริ่มตกต่ำ
กิจการชักไม่เจริญ ชักมีอุปสรรค มีเหตุอันไม่คาดคิดทำให้เสียทรัพย์อยู่บ่อย
ๆ ออกจากบ้านมา ๙ ปี ถึงคราวชีวิตตกต่ำหนัก อยากเป็นเศรษฐียิ่งทะเยอทะยานกิจการยิ่งแย่มีเหตุให้เป็นไปต่าง
ๆ นานา เปลี่ยนกิจการหลายอย่างก็ยิ่งเลวลงจนเหลือทุนอยู่ก้อนหนึ่งซึ่งไม่มากนักได้ไปเช่าหอพักอยู่ในกรุงเทพฯ
โดยไม่ทำอะไรได้แต่มองหาลู่ทางอยู่ จะอยู่ที่ไหนก็ไม่สบายใจ
ไม่เป็นสุข มักเปลี่ยนที่อยู่บ่อย แต่ละแห่งอยู่เพียง
๑-๒ เดือน วันหนึ่งมีความคิดขึ้นมาว่า "
บ้านก็ต้องเช่า ข้าวก็ต้องซื้อ, จะกิน, จะนอน,จะอุจจาระ,จะปัสสาวะก็ต้องเสียเงินทั้งนั้น
มีอะไรบ้างที่เป็นของเรา มีอะไรบ้างที่ไม่ต้องเสียเงินแลก?
"
|
|
|
ทวนไปทวนมาอยู่ครู่หนึ่งคิดว่า
" เราจะทำอะไรดีหนอ " รถได้แล่นมาถึงสี่แยกบางลำพูติดไฟแดงอยู่
เวลานั้นเป็นเวลาสายแดดจ้าเต็มที่ทันใดก็เกิดแสงสว่างวาบสว่างกว่าแสงอาทิตย์จนเห็นอะไร
ๆ เป็นสีเงินพร้อมกันนั้นก็มีเสียงดังขึ้นมาว่า
" เป็นพระ " ความรู้สึกก็ตอบรับขึ้นมาทันทีว่า
"ใช่
ใช่แล้ว."
ทั้ง ๆ ที่แต่ไหนแต่ไรไม่เคยคิดเรื่องพระเรื่องเจ้าเลยขณะนั้นก็เกิดความสบาบอกสบายใจขึ้นมาทันทีแล้วก็ลืมเหตุการณ์นั้นเสียสิ้นไปเที่ยวต่อไป
มาระลึก
ได้เอาเมื่อแก่ |
|
|
|
หลายวันต่อมาขณะที่เดินอยู่ระหว่างสี่แยกบางลำพูไปทางโรงพิมพ์มหามงกุฏราชวิทยาลัยหน้าวัดบวรวิหาร
เป็นเวลาบ่าย แดดร้อน อากาศร้อนอบอ้าว ในอกในใจก็ร้อน
บนบาทวิถีมีผู้คนเดินขวักไขว่มากมาย ขณะนั้นเหลือบมองเห็นพระภิกษุองค์หนึ่ง
เดินมาแต่ไกลจากทางโรงพิมพ์
มหามงกุฏฯ ท่านเดินมาท่ามกลางผู้คนแต่ท่านเด่นกว่าใครเหมือนพระจันทร์ลอยเด่นอยู่ท่ามกลางหมู่ดาว
เพียงพบเห็นท่านเท่านั้น ความร้อนอบอ้าวจากอากาศภายนอกและความเร่าร้อนในอกในใจของฉันก็หายเป็นปลิดทิ้ง
มีความสนใจในตัวท่านทันที ท่านเป็นพระภิกษุหนุ่มรูปงาม
หน้าตาผ่องใสยิ่งนัก ยิ้มนิด ๆ เดินมีตาทอดลง
ตาไม่ล่อกแล่ก ไม่ถือร่ม ไม่ถือย่าม ไม่สวมรองเท้า
กิริยาการเดินงามจริง เดินนิ่มนวลไม่กระตุก เคลื่อนไปได้เหมือนไม่ต้องออกกำลังอย่างการเดินของมนุษย์ทั่วไป
เมื่อท่านเดินเข้ามาใกล้เห็นผิวของท่านนวลผ่องเนียนละเอียดสดใสขาวเหมือนงาช้าง
ห่มจีวรสีเหลืองซีด ๆ เพราะความเก่าแต่สะอาดมีรอยปะเล็ก
ๆ อยู่ ๒-๓ รอย ฉันเกิดความเลื่อมใสศรัทธาจับจิตจับใจคิดว่าพระองค์นี้ต้องบรรลุสิ่งที่สูงที่สุดเป็นแน่
เมื่อท่านเดินสวนทางกันผ่านไปด้านหลังฉันแล้วฉันก็ยังหันไปมองอีกแล้วจึงเดินต่อไป
มารู้สึกเสียใจและตำหนิตนเองว่า " เราไม่ได้ไหว้ท่าน
" แล้วก็ลืมเหตุการณ์นั้นหมด ไปเที่ยวต่อไป
"
พระผู้เป็นเจ้าองค์นั้นเป็นใคร? เป็นมนุษย์ เป็นอมนุษย์
หรือเป็นพระอรหันต์มาปรากฏเพื่ออนุเคราะห์ลูกโดนเฉพาะ
บัดนี้พระผู้เป็นเจ้าอยู่หนใด เป็นเวลานานนักหนาแล้วที่ลูกลืมเสียสนิท
อะไรหนอมาบังดวงตาบังใจของลูก เพิ่งมาระลึกได้เอาเมื่อแก่
กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมใดที่ลูกได้ล่วงเกินท่าน
ทำไม่ดีไม่งามกับท่านลูกกราบขอขมาขอพระผู้เป็นเจ้าจงงดโทษ
ลูกขอยึดถือท่านว่าเป็นที่พึ่งที่ระลึก. "
|
|
|