ในทางวิทยาศาสตร์ การศึกษาเรื่องจักรวาลจะใช้วิธี เฝ้าสังเกตการณ์ คาดคะเน นึกคิด สันนิษฐาน ค้นคว้า และทดลองด้วยการสร้างเครื่องมือขึ้นมาช่วยพิสูจน์สมมุติฐานของตน เช่น เครื่องคำนวณ กล้องส่อง และยานอวกาศ เป็นต้น แล้วตั้งเป็นทฤษฎีขึ้นมา นักวิทยาศาสตร์รุ่นก่อนๆเครื่องมือยังไม่มีประสิทธิภาพเทียบเท่าในปัจจุบันได้ตั้งทฤษฎีไว้อย่างหนึ่ง ต่อมานักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ มีความคิดใหม่ มีเครื่องมือใหม่ที่มีการพัฒนาประสิทธิภาพดีขึ้นกว่าเดิม ได้ค้นพบสิ่งใหม่ๆเพิ่มขึ้น ก็ลบล้างทฤษฎีเก่า แล้วตั้งทฤษฎีใหม่ขึ้นมาแทนที่ เมื่อนักวิทยาศาสตร์มีมากความคิดความเห็นก็แตกต่างกันไป ค้นพบในสิ่งที่แตกต่างกัน แล้วแต่ละคนก็ตั้งทฤษฎีของตนขึ้นมา มาประชุมกัน ถกเถียงกัน แล้วคัดเลือกเอาทฤษฎีที่เสียงส่วนใหญ่เห็นคล้อยตาม จากนั้นก็ประกาศว่า "เอาทฤษฎีนี้" แต่นักวิทยาศาสตร์ทุกคนก็รู้อยู่แก่ใจว่า ทฤษฎีนี้พร้อมที่จะถูกลบล้างได้ทุกเมื่อ เมื่อมีผู้ค้นพบสิ่งใหม่ๆที่มีสมมุติฐานและเหตุผลที่ดีกว่า

ในปัจจุบันนี้ นักวิทยาศาสตร์และนักดาราศาสตร์ได้ประดิษฐ์เครื่องมือใหม่ๆ มีการสร้างกล้องดูดาวขนาดใหญ่มหึมา ทั้งบนพื้นดินและลอยอยู่ในอวกาศ และกำลังจะไปติดตั้งกล้องดูดาวขนาดยักษ์บนดวงจันทร์ในเร็วๆนี้ นอกจากนั้นยังมียานอวกาศที่ถูกส่งไปถ่ายภาพ และเก็บวัตถุจากผิวดาวต่างๆในอวกาศมาพิสูจน์ แต่ทุกคนก็ยอมรับว่า "พวกเรารู้เรื่องจักรวาลเพียงแค่ผงธุลีเท่านั้น ยังมีสิ่งลึกลับดำมืดและมหัศจรรย์ เกินการคาดคะเน เกินการพิสูจน์ด้วยทฤษฎีใดๆทางวิทยาศาสตร์ อีกมากมายนักที่ยังท้าทายอยู่"

ทฤษฎีของจักรวาลเท่าทีพอจะฟังกันได้ในปัจจุบัน คือ ระบบสุริยะ (Solar System) หรือที่เรียกว่า สุริยะจักรวาล อันมีดวงอาทิตย์หรือดาวฤกษ์เป็นศูนย์กลางมีดาวเคราะห์แต่ก่อนค้นได้ ๗ - ๘ ดวง ปัจจุบันค้นพบเพิ่มเติมเป็น ๙ ดวง และกำลังจะค้นพบดวงที่ ๑๐ - ๑๑ ต่อไปอีก ดาวเคราะห์เหล่านี้โคจรรอบดวงอาทิตย์ บางดวงก็มีดวงจันทร์เป็นบริวารหมุนรอบบางดวงก็ไม่มีบริวาร นอกจากนี้ยังมีกลุ่มดาวเคราะห์น้อย กลุ่มดาวหาง และฝุ่นละอองต่างๆ พากันโคจรรอบดวงอาทิตย์นี้ รวมเป็นหนึ่งครอบครัวหรือหนึ่งระบบ

นอกจากระบบสุริยะ (Solar System)ทีกล่าวมาแล้ว ยังมีดาวฤกษ์อื่นๆที่มีบริวารแบบระบบสุริยะอีกมากมายนัก นับเป็นล้าน …ฯลฯ รวมหลายๆระบบเกาะกลุ่มกันเป็น ดาราจักร(Galaxy) ในรูปแบบต่างๆ และดาราจักรก็มีอีกมากมายนับเป็นล้าน… โคจรในอวกาศอันเวิ้งว้างมืดมิด รวมกันเรียกว่า เอกภพหรือจักรวาล(Universe) โดยดาราจักรแต่ละดาราจักรจะหมุนรอบแกนกลางของตนเอง


ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์บางพวกเข้าใจว่า ดาราจักรเหล่านี้กำลังโคจรถีบทะยานออกจากกัน บางพวกก็คิดเห็นว่า นอกจากถีบทะยานออกจากกันแล้ว นานๆไปจะเข้ามารวมตัวกันใหม่ แล้วบีบอัดกัน และต่อไปจะเป็นอย่างไรยังหาความคิดเห็นที่ลงตัวกันไม่ได้ แต่ที่ลงกันได้ก็คือ "ทั้งระบบสุริยะและดาราจักร ต่างก็มีการเกิดขึ้นแล้วก็ถึงกาลแตกสลายไปในที่สุด และบ้างก็กำลังเกิด บ้างก็กำลังแตกสลายอยู่ "

การเกิดขึ้นของระบบสุริยะ (Solar System) และดาราจักร (Galaxy) นักวิทยาศาสตร์กำลังค้นคว้าและถกเถียงกันอยู่ แต่ก็ตั้งสมมุติฐานหรือคาดคะเนกันไปก่อนว่า "หมู่ดาวเคราะห์ซึ่งมีเนื้อตัวเป็น ธาตุดิน, น้ำ, ไฟ, ลม, เหล็ก, เงิน, ทองคำ ฯลฯ. แตกตัวมาจากดวงอาทิตย์ซึ่งเนื้อตัวเป็นธาตุเบาล้วนๆคือ ไฮโดรเจน และดวงอาทิตย์เกิดจากการรวมตัวของของไฮโดรเจน" บางตำราว่ามาจาก หมอกเพลิง (Nebular) และหากจะถามต่อไปอีกว่า "ไฮโดรเจน หรือหมอกเพลิงเกิดจากอะไร???" ก็ตันตรงนี้

มีผู้พยายามเอาไฮโดรเจนมาเล่นแร่แปรธาตุให้เป็น ดิน, เป็นเหล็ก, เป็นเงิน, เป็นทองคำ แม้ทุกวันนี้ก็กำลังค้นคว้าทดลองอยู่อย่างขะมักเขม้น ….

ถ้าจะสมมุติกันอีกทีว่า ถ้าไฮโดรเจนหรือหมอกเพลิงเกิดเองได้ แล้วทำไมดวงอาทิตย์จะเกิดเองไม่ได้??? ถ้าดวงอาทิตย์เกิดเองได้ แล้วทำไมดาวเคราะห์ทั้งหลายจะเกิดเองไม่ได้????

เรื่องกำเนิดของชีวิต นักวิทยาศาสตร์ยังคงถกเถียงกันอยู่ แต่ก็ตั้งสมมุติฐานหรือคาดคะเนไปก่อนว่า มนุษย์มีวิวัฒนาการมาจากลิง ลิงมีวิวัฒนาการมาจากสัตว์อื่นที่มีโครงสร้างคล้ายกัน มีวิวัฒนาการต่อๆจากชีวิตที่มีโครงสร้างง่ายๆในน้ำจนถึงสัตว์เซลเดียว แล้วสัตว์เซลเดียวเกิดจากกรดอมิโน และก็จะไปตันตรงที่กรดอมิโน มีนักวิทยาศาสตร์จำนวนมากเคยเอากรดอมิโนมาสร้างให้เป็นชีวิตในห้องทดลอง "แต่ยังไม่มีใครทำได้เลย"

จะสมมุติกันอีกทีว่า ถ้ากรดอมิโนเกิดเองได้ แล้วทำไมสัตว์เซลเดียวจะเกิดเองไม่ได้??? ถ้าสัตว์เซลเดียวเกิดเองได้ แล้วทำไมสัตว์อื่นๆ รวมทั้งมนุษย์จะเกิดเองไม่ได้???

ในทางพุทธศาสตร์ เกี่ยวกับจักรวาล พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ใน "จูฬนีสูตร" พระไตรปิฎก หน้า ๒๑๕ เล่ม ๒๐ ว่า

จักรวาล ( Solar System ) ประกอบด้วยดวงจันทร์ โลก ดวงอาทิตย์ และดาวเคราะห์ทั้งหลายโคจร ไปร่วมกัน เฉพาะโลกจะมีขุนเขาสิเนรุ ( เป็นภูเขาทิพย์ที่เห็นได้เฉพาะผู้มีอภิญญา ) ทวีปต่างๆ ที่ตั้งชื่อกันในสมัย
นั้นคือ ชมพูทวีป อปรโคยานทวีป อุตรกุรุทวีป และปุพพวิเทหทวีป มหาสมุทรทั้ง ๔ ( นับกันได้ใน สมัยนั้น ) มีนรกขุมต่างๆ สวรรค์ชั้นต่างๆ และพรหมโลกชั้นต่างๆ

โลกธาตุ (ดาราจักร หรือ Galaxy) มี ๓ ขนาด คือ โลกธาตุอย่างเล็กมีจำนวนพันจักรวาล โลกธาตุอย่างกลางมีจำนวนล้านจักรวาล โลกธาตุอย่างใหญ่มีจำนวน แสนโกฏิจักรวาล

ทั้งโลกธาตุอย่างเล็กก็ดี อย่างกลางก็ดี อย่างใหญ่ก็ดี ยังมีอีกจำนวนมากมาย "ทุกสิ่งทุกอย่างมีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และแตกดับไปในที่สุด"

กำเนิดของโลกพระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ใน "อัคคัญญสูตร" พระไตรปิฎก หน้า ๖๑ เล่ม ๑๑ ว่า เกิดมีน้ำขึ้นในห้วงอวกาศอันมืดมิดก่อนแล้วนานๆไปเกิดการรวมตัวงวดเข้าเป็นง้วนดิน แล้วพัฒนาเป็นกระบิดิน ต่อไปเป็นเครือดิน จากนั้นมีต้นข้าวและพืชทั้งหลายเกิดขึ้น ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ หมู่ดาว นรกขุมต่างๆ เทวโลก และพรหมโลกชั้นต่างๆ ก็เกิดขึ้นเอง

กำเนิดชีวิตพระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า "เพราะมีความอยาก จึงมีการเกิดเป็นสัตว์เป็นบุคคลขึ้นมา เมื่อไม่มีความอยากการเกิดเป็นสัตว์เป็นบุคคลก็ไม่มี"
กำเนิดชีวิตในจักรวาลอื่น ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ยังถกเถียงกันอยู่ว่ามีหรือไม่มี ? และยังคงไม่มีใครสามารถสร้างเครื่องมือติดต่อค้นหาเพื่อตอบคำถามนี้ได้ แต่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้แน่นอนมากว่าสองพันปีแล้วว่า "มี"

นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า "ดวงอาทิตย์ มีเส้นผ่าศูยน์กลางประมาณ 1,400,000 กิโลเมตร หรือโตกว่าโลกประมาณ 109 เท่า มีน้ำหนักประมาณ 2 x 1030 กิโลกรัม (หรือ 20 ตามด้วย 0 จำนวน 30 ตัว) เนื้อตัวทั้งหมดของดวงอาทิตย์เป็นธาตุไฮโดรเจนซึ่งเป็นธาตุเบา เผาไหม้ตัวเองด้วยปฏิกิริยา เทอร์โมนิวเคลียร์ จากภายในใจกลางออกมาไม่ใช่เผาไหม้เฉพาะพื้นผิว สิ้นมวลของตัวเองวินาทีละ 4 ล้านตัน เผาไหม้อย่างนี้มาแล้ว 5,500 ล้านปี และจะเผาไหม้อย่างนี้ต่อไปอีก 5,500 ล้านปี" เมื่อเป็นเช่นนี้ลองคิดดูว่าวันหนึ่งมีกี่วินาที ? ต่อให้ดวงอาทิตย์หรือดาวฤกษ์นั้นใหญ่โตขนาดไหนก็ตาม น่าจะย่อยยับหมดสิ้นภายในวันเดียว แต่ดวงอาทิตย์หรือดาวฤกษ์นั้นก็ยังอยู่ยืนยาวมานานนับพันๆล้านปี โดยยังมีขนาดเท่าเดิม " นี้คือความมหัศจรรย์ที่ยังคงเหนือการพิสูจน์

อีกอย่างหนึ่ง นักวิทยาศาสตร์คาดคะเนว่า "เวลาอันยาวนานในอนาคต ดวงอาทิตย์จะขยายตัวบวมขึ้นจนมีขนาดโตถึงวงโคจรของโลก แล้วกลืนกินโลกและดาวเคราะห์วงในทั้งหมด และเมื่อเวลายาวนานอีกต่อไปก็จะค่อยๆยุบตัวลงกลายเป็นดาวแคระ คือจะมีขนาดเล็กลงเท่าโลกแต่มีความร้อนจัด ดาวฤกษ์บางดวงก็ยุบตัวลงเป็นดาวนิวตรอนที่มีขนาดเส้นผ่าศูยน์กลางเพียง 25-30 กิโลเมตร และดาวฤกษ์บางดวงก็ยุบตัวลงเป็นหลุมดำ"

พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ในอนาคตอันยาวไกลในสุริยะจักรวาล จะมีดวงอาทิตย์เกิดขึ้นเองเพิ่มขึ้นทีละดวงๆ จนครบ ๗ ดวง แล้วเผาไหม้โลกและดาวเคราะห์บริวารทั้งหมด นรกทุกขุม สวรรค์ทุกชั้น และพรหมโลกชั้นต่ำๆ รวมทั้งดวงอาทิตย์ทั้ง ๗ ดวงนั้น ก็พินาศไปด้วย แล้วก็จะมีแต่ความมืดมิดจนนานแสนนาน ก็ก่อตัวขึ้นมาใหม่อีก" (สุริยะสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๓ หน้า ๘๓)





ความเข้าใจที่แตกต่างกัน
นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย คือปุถุชนผู้ที่ยังมีกิเลสตัณหา ตั้งทฤษฎีมาจากการคาดคะเน การนึกคิด การเดา การสันนิษฐาน การค้นคว้าทดลอง การสังเกตจดจำ การใช้เครื่องมือและอุปกรณ์เป็นจำนวนมาก แต่ทฤษฎีเหล่านั้นก็ยังไม่ตายตัว พร้อมที่จะถูกลบล้างได้ตลอดเวลา


พระพุทธเจ้าทั้งหลาย คือบุคคลพิเศษ วิเศษ เป็นอัจฉริยะมนุษย์ เป็นบุคคลเอกที่ไม่มีใครเสมอเหมือน เป็นผู้สิ้นกิเลสตัณหา เป็นผู้มีญาณวิเศษรู้อดีต ปัจจุบัน และอนาคต เป็นผู้ตรัสรู้ เป็นผู้รู้แจ้งโลก ดังนั้นพระสูตรหรือทฤษฎีต่างๆที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ดีแล้ว จึงตายตัวไม่มีใครลบล้างได้


เรื่องต่างๆที่เกี่ยวกับโลกๆ พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ในพระสูตรต่างๆ ในพระไตรปิฎกหลายพระสูตรเช่น

๑. อัคคัญญสูตร ว่าด้วยเรื่องกำเนิดของโลก กำเนิดของมนุษย์ และวรรณะทั้ง ๔  
  หน้า ๖๑ เล่มที่ ๑๑ พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย อ่านต่อที่นี่
๒. จักกวัตติสูตร ว่าด้วยเรื่องพระเจ้าจักรพรรดิ์ อนาคตของโลก และพระพุทธเจ้าในอนาคต  
  หน้า ๔๓ เล่มที่ ๑๑ พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย อ่านต่อที่นี่
๓. จูฬนีสูตร ว่าด้วยเรื่องจักรวาล  
  หน้า ๒๑๕ เล่มที่ ๒๐ พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย อ่านต่อที่นี่
๔. สุริยสูตร ว่าด้วยเรื่องในอนาคตพระอาทิตย์จะเกิดขึ้นครบ ๗ ดวง และการพินาศของโลก  
  หน้า ๘๓ เล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย อ่านต่อที่นี่
๕. อุโปสถสูตร ว่าด้วยเรื่องสวรรค์ ๖ ชั้น  
  หน้า ๑๙๕ เล่มที่ ๒๐ พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย อ่านต่อที่นี่
๖. พาลบัณฑิตสูตร ว่าด้วยเรื่องผลกรรมของคนชั่วและคนดี เรื่องนรกขุมต่างๆ สัตว์เดียรัจฉานจำพวกต่างๆ และพระเจ้าจักรพรรดิ์  
  หน้า ๒๓๙ เล่มที่ ๑๔ พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อ่านต่อที่นี่
๗. เทวทูตสูตร ว่าด้วยพญายมซักถามสัตว์นรก และนรกขุมต่างๆ  
  หน้า ๒๓๙ เล่มที่ ๑๔ พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อ่านต่อที่นี่
๘. สังขารูปปัตติสูตร ว่าด้วยสวรรค์ ๖ ชั้น รูปพรหม ๒๒ ชั้น อรูปพรหม ๔ ชั้น  
  หน้า ๑๗๒ เล่มที่ ๑๔ พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อ่านต่อที่นี่
๙. ฌานสูตรที่ ๑ - ๒ ว่าด้วยอายุของรูปพรหม ๔ ชั้น  
  หน้า ๑๒๕ เล่มที่ ๒๑ พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย อ่านต่อที่นี่
๑๐. อาเนญชสูตร ว่าด้วยอายุของอรูปพรหม ๓ ชั้น  
  หน้า ๒๕๔ เล่มที่ ๒๐ พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย อ่านต่อที่นี่

เรื่องของจักรวาลยังจะมีในคัมภีร์อื่นๆอีกมาก กล่าวแตกต่างกันออกไป ถ้าเรื่องเหล่านั้นไม่บอกที่มาในพระสูตรจากพระไตรปิฎก ถือได้ว่าไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า


อจินไตย ๔
" ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งที่ไม่ควรคิด ๔ ประการนี้ ถ้าผู้ใดคิดจะเป็นบ้า เดือดร้อน อจินไตย ๔ ประการนั้นคือ

๑. วิสัยของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
๒. วิสัยของผู้ได้ฌาน
๓. ผลของกรรม
๔. เรื่องโลก ๆ "
( หน้า ๑๐๒ เล่มที่ ๒๑ พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย )

 

 
 

หน้าแรก I ประวัติหลวงพ่อเกษตร I วัดเขาหินเทิน I ภาพกิจกรรมวัดเขาหินเทิน I ธรรมะโดยหลวงพ่อเกษตร I กระดานกระทู้ธรรม l ติดต่อกับเรา
Copyright © 2003  Wat Khaohinturn All rights reserved
Designed & Managed by : flmonline.net