| 
            
      
     | 
            
  | 
        
        
            
  | 
            
     
       ๑. จากพระไตรปิฎกอรรถกถา เล่ม ๑๓ มหาปทานสูตร ประวัติพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 
        ๗ พระองค์ 
       
      
      
         
            | 
          พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า 
            พระนามว่าวิปัสสี เป็น โกญฑัญญโคตร 
            พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าสิขี 
            เป็น โกญฑัญญโคตร 
            พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าเวสภู 
            เป็น โกญฑัญญโคตร 
            พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่ากกุสันธะ 
            เป็น กัสสปโคตร 
            พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าโกนาคมนะ 
            เป็น กัสสปโคตร 
            พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่ากัสสปะ 
            เป็น กัสสปะโคตร 
            พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าโคดม 
            เป็น โคตมโคตร  
             
             
           | 
         
         
           
                     คำว่าโกญฑัญญโคตร, 
            กัสสปโคตร, และโคตมโคตร ของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ มีความหมายว่าอย่างไร? 
             
           | 
         
       
      
     | 
            
  | 
        
        
            
  | 
            
                
                    
                        
                            
  | 
                            ตอบ
  | 
                            
           คำเหล่านี้เป็นเพียงชื่อโคตรตระกูลเท่านั้น 
            ไม่มีความหมายหรือคำแปล | 
            | 
                                                          
                                                                            
                 
                 
             | 
            
  | 
        
        
            
  | 
            
     
       ๒. ทำไมเมื่อคนเราตายไปจึงต้องมีพิธีการจัดงานศพ ต้องไปเคารพศพ อะไรคือวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของการจัดงานศพ? 
        | 
            
  | 
        
        
            
  | 
            
                
                    
                        
                            
  | 
                            ตอบ | 
                            
           
            
              
                | 
                         พิธีกรรมในงานศพ 
                    พระพุทธเจ้าไม่เคยตรัสไว้ว่าจะต้องทำอย่างไร จะจัดหรือไม่จัดก็ได้ 
                    เพราะไม่มีประโยชน์อะไรกับผู้ตาย ผู้ตายเมื่อวิญญาณออกจากร่างก็ไปเกิดใหม่ 
                    ตามอำนาจของบาป-บุญ ที่ตนได้กระทำไว้ก่อนตาย ผู้อื่นไม่สามารถช่วยอะไรได้ 
                          พิธีกรรมต่างๆในงานศพ พวกสัปเหร่อจะแนะนำไปตามความเชื่อและตามความคิดเห็นของตน 
                    แต่ละท้องที่ก็ทำแตกต่างกันไป โดยมีวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของงานศพก็คือ 
                    เกียรติยศชื่อเสียงของผู้ตาย ของเจ้าภาพ และหวังเพื่อให้ผู้ตายไปสู่ที่ดีๆ 
                    อีกอย่างหนึ่งก็เพื่ออาชีพของสัปเหร่อเอง 
                          ตามริมฝั่งแม่น้ำคงคาในประเทศอินเดีย 
                    ตลอด ๒๔ ชั่วโมงทุกวัน จะไม่ว่างจากควันไฟเผาศพเลย แต่ละศพจะมีญาติเพียง 
                    ๑ - ๒ คน ช่วยกันเผา เผาเสร็จแล้วก็เอาเถ้ากระดูกโปรยลงแม่น้ำคงคา 
                    โดยมีความเชื่อว่าแม่น้ำคงคาสามารถล้างบาปของผู้ตายได้ ไม่ต้องทำพิธีกรรมใดๆ 
                    ขณะเดียวกันก็มีสัปเหร่อที่ไม่ต้องจ้าง คือ คุณแร้ง คุณกา คุณนก 
                    คุณหนูทั้งหลาย เฝ้าคอยดูอยู่ใกล้ๆ ถ้าญาติจัดการงานศพไม่หมด 
                    หรือศพไม่มีญาติ ก็จะช่วยจัดการให้เรียบร้อย 
                 | 
               
             
            
           | 
                                          
                                                              
                 
                 
             | 
            
  | 
        
        
            
  | 
            
     
       ๓. พิธีศพของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างไร? 
       | 
            
  | 
        
        
            
  | 
            
                
      
         
         
           
           | 
          ตอบ | 
            
            
               
                |  
                          สำหรับพิธีศพของพระพุทธเจ้านั้น 
                    พระอานันทะ(พระอานนท์) เคยถามพระองค์ว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ 
                    จะจัดการพระศพของพระองค์อย่างไรพระเจ้าข้า" พระองค์ทรงตรัสว่า 
                    "อานันทะ.... เธออย่าเดือดร้อนเลย พวกกษัตริย์เขาจะจัดการเอง" 
                    พระอานันทะก็ทูลถามว่า "ถ้าพวกกษัตริย์จะจัดการ จะให้จัดการอย่างไร?" 
                    พระองค์ทรงตรัสว่า "จงจัดอย่างพระศพของพระเจ้าจักรพรรดิ 
                    คือ ห่อพระศพด้วยผ้าใหม่ ซับด้วยสำลีสลับกัน ๕๐๐ ชั้น แล้วอัญเชิญลงในรางเหล็กที่เต็มไปด้วยน้ำมัน 
                    แล้วปิดด้วยฝาเหล็ก พรมด้วยของหอม เผาบนเชิงตะกอน แล้วนำสรีระธาตุบรรจุในสถูปประดิษฐานไว้ในทางใหญ่ 
                    ๔ แพร่ง ชนใดบูชาด้วยดอกไม้ของหอม หรือกราบไหว้ด้วยจิตอันเลื่อมใสในพระสถูปนั้น 
                    จะเป็นประโยชน์ เป็นความสุขตลอดกาลนาน" 
                 | 
                  | 
               
             
           | 
         
         
       
                 
             | 
            
  | 
        
        
            
  | 
            
     
        ๔. ทำไมในงานศพต้องมีการนิมนต์พระภิกษุมาสวดศพ? ทำไมต้องมีการสวดพระอภิธรรม? 
        | 
            
  | 
        
        
            
  | 
                  
                
                    
                        
                            
  | 
                            ตอบ
  | 
                            
          
            
              
                      การนิมนต์พระภิกษุมาสวดอภิธรรมในงานศพนั้น 
                  ชาวบ้านจัดกันไปเอง แต่ก็เป็นสิ่งที่ดีที่ได้ทำบุญทำกุศลกับพระภิกษุ 
                  เพราะการเห็นสมณะเป็นมงคล  
                        การสวดอภิธรรมนั้นหวังให้ผู้ตายได้ฟังธรรมขั้นสูง 
                  ถ้าผู้ตายเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ ไม่สนใจในการบุญการกุศล ไม่สนใจในธรรม 
                  ก็ไม่เป็นประโยชน์อะไรในการสวด แต่อภิธรรมยังเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ 
                  ถ้าผู้ฟังมีความสนใจฟัง และรู้คำแปล รู้ความหมาย ย่อมเกิดบุญเกิดอานิสงส์จากการฟังนั้น | 
               
             
            
           | 
                         
                                                                            
                 
                 
             | 
            
  | 
        
        
            
  | 
            
     
       ๕. พิธีศพเท่าที่เห็นมาทำไมเจ้าภาพต้องเลี้ยงเหล้าเลี้ยงเบียร์ ให้กับแขกที่มาในงาน 
        จะเลี้ยงแต่อาหารกับขนมจะได้หรือไม่? 
       | 
            
  | 
        
        
            
  | 
                          
                
                    
                        
                            
  | 
                            ตอบ
  | 
                            
                                
            
               
                 
                        เจ้าภาพจะเลี้ยงอะไรก็ได้ไม่ผิด 
                    แต่เหล้าเบียร์เป็นสิ่งสมมุติกันว่าดีในสังคมของปุถุชน ถ้าเจ้าภาพไม่เลี้ยงด้วยสิ่งเหล่านี้ 
                    เกรงว่าแขกจะติเตียน กลัวจะเสียหน้าซึ่งเจ้าภาพคิดไปเอง ถ้าเจ้าภาพไม่เลี้ยงเหล้าเลี้ยงเบียร์ใครจะทำอะไรได้ 
                    บัณฑิตยังสรรเสริญว่าเจ้าภาพเป็นคนดี มีศีลธรรม มีกัลยาณธรรม 
                    การเลี้ยงด้วยเหล้าเบียร์ยังเป็นผลเสีย คือ มีค่าใช้จ่ายสูง 
                    แขกที่กินเหล้าแล้วมักพูดมาก กินหมดขวดแล้วก็อ้อนออดขออีกไม่จบไม่สิ้น 
                    เมื่อเมาแล้วอาจเกิดการทะเลาะวิวาทตีกันในงาน อีกอย่างหนึ่งการทำบุญสงเคราะห์คนขี้เมา 
                    คือคนทุศีล ย่อมมีผลน้อย มีอานิสงส์น้อย
                     
                   
                 | 
               
             
                             | 
                         
                                                                             
                 
                 
             | 
            
  | 
        
        
            
  | 
            
     
       ๖. พิธีศพเท่าทีเห็นมา ทำไมต้องมีการเล่นการพนัน? 
       | 
            
  | 
        
        
            
  | 
                               
                
                    
                        
                            
  | 
                            ตอบ
  | 
                            
           
            
              
                |  
                         การพนันในงานศพนี้เป็น 
                    กาฝาก เป็นกติกามืดของสังคมไทย 
                    ผู้ไม่เคยจัดงานศพจะไม่รู้ แต่เมื่อใดได้จัดงานศพแล้วจะรู้เองว่า 
                    มีแขกผู้ไม่ต้องเชิญ คือพวกนักพนัน บุคคลพวกนี้เขาจะรู้ได้เองว่าบ้านไหนมีงานศพ 
                    เขาจะพากันไปอย่างมากมายโดยมิได้นัดหมาย เหมือนเป็นกระบวนการโดยเจ้าหน้าที่ไม่อาจจัดการอะไรได้ 
                    เจ้าภาพก็พูดไม่ออก เจ้าภาพจะต้องจำใจต้อนรับขับสู้ บำรุงบำเรอเขาเหล่านั้นด้วยสุรา 
                    อาหารต่างๆ และที่หลับที่นอนอย่างดี เสมอด้วยแขกผู้เกียรติที่ได้รับเชิญ 
                    พวกนักพนันเหล่านี้มักติดต่อกับเจ้าภาพ ขอเป็นเจ้าภาพจัดการงานศพต่ออีก 
                    ๗วันบ้าง ๑๐วันบ้าง ยิ่งนานยิ่งดี โดยยอมจ่ายค่าป่วยการให้ทุกอย่าง 
                    ขอให้เล่นการพนันได้เท่านั้น เพราะถ้าไปเล่นที่อื่นที่ไม่ใช่งานศพตำรวจจะจับ 
                    เจ้าภาพที่เห็นแก่ได้ก็มีอยู่ นี่คือธุรกิจมืดที่มองเห็นได้แต่แก้ไขไม่ได้ของสังคมไทย! 
                 | 
                 
                  
                    
                        | 
                     
                    
                      |  
                          
                          กายนี้หนอไม่นานก็จะต้องนอนทับแผ่นดิน ปราศจากความรู้สึก 
                          เหมือนท่อนไม้ ไม่มีประโยชน์ 
                         | 
                     
                   
                 | 
               
             
            
           | 
                         
                                                                            
                 
                 
             | 
            
  | 
        
        
            
  | 
            
     
       ๗. ถ้ามีการทำสถูปเจดีย์เพื่อบรรจุกระดูกไว้ตามวัดจะดีหรือไม่ประการใด? 
       | 
            
  | 
        
        
            
  | 
                                
                
                    
                        
                            
  | 
                            ตอบ
  | 
                            
          
            
               
                |  
                   พระพุทธเจ้าตรัสว่า 
                    "บุคคลผู้ควรบรรจุสถูปเจดีย์มี ๔ บุคคล คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า๑, 
                    พระปัจเจกพุทธเจ้า๑, พระอรหันต์สาวก๑,   
                 | 
               
               
                   | 
                 
                   พระเจ้าจักรพรรดิ๑ 
                    บุคคลทั้ง ๔ นี้ เกิดขึ้นมาในโลกเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย 
                    ชนเหล่าใดยังจิตให้เลื่อมใสในสถูปนั้นแล้ว เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก 
                    ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์" 
                       ส่วนพระภิกษุทั่วไปหรือคนทั่วไป ไม่ควรทำสถูปเจดีย์ 
                    เพราะทำให้เปลืองที่ทาง มีบางวัดปล่อยให้มีการสร้างเจดีย์เหล่านี้อย่างใหญ่โตและมากมายจนวัดไม่มีที่จะเดิน 
                    เพียงเห็นแก่ผลตอบแทนเล็กน้อยจากเจ้าของเจดีย์ แล้วทางวัดต้องคอยดูแลให้เขาจนชั่วนิรันดร์ 
                    ไม่คุ้มกับราคาที่ดินทีมีราคามูลค่าสูงเพิ่มขึ้นทุกวัน แทนที่วัดจะมีที่ทางอันร่มรื่นเหมาะแก่การปฏิบัติธรรม 
                 | 
               
             
           | 
                                                                 
                                                                             
                 
                 
             | 
            
  | 
        
        
            
  | 
            
     
      
         
          |  
             ๘. การไปเคารพศพ ไปขอขมาศพ ให้มีการอโหสิกรรมให้กันและกัน 
              ทั้งกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรมก็ดี สามารถอโหสิกรรมเลิกการจองเวรได้หรือไม่? 
           | 
         
       
      
     | 
            
  | 
        
        
            
  | 
                                 
                
                    
                        
                            
  | 
                            ตอบ
  | 
                            
          
            
              
                |  
                         การเคารพศพ 
                    การขอขมาศพ เป็นความดี ถ้าทั้งผู้อยู่และผู้ตายอโหสิกรรม ไม่จองเวรซึ่งกันและกัน 
                    เวรก็ระงับได้ แต่ถ้าฝ่ายใดยังจองเวรอยู่ ฝ่ายนั้นก็ยังต้องทุกข์อยู่ 
                   
                 | 
               
             
            
           | 
                         
                                                                            
                 
                 
             | 
            
  | 
        
        
            
  | 
            
     
       ๙. กายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม กรรมอย่างใดให้ผลมากกว่ากัน? 
       | 
            
  | 
        
        
            
  | 
                                   
                
      
         
        
                            
  | 
                            ตอบ
  | 
                                             
                                
            
               
               
                |  
                         ถ้ากายกรรมและวจีกรรม 
                    ไม่เกิดจากมโนกรรม ถือว่าไม่มีเจตนา กรรมนั้นย่อมมีผลน้อย แต่ถ้ากรรมใดสืบเนื่องจากมโนกรรม 
                    คือมีเจตนา กรรมนั้นย่อมมีผลมาก 
                 | 
                 
                    
                 | 
               
               
             
                                
           | 
                             
                                                                                
                     
                    
     | 
                
  | 
            
            
                
  | 
                
     
      
        
          | 
             ๑๐. จากพระวินัยปิฎก เพราะเหตุใดพระพุทธเจ้าจึงไม่บัญญัติพระวินัยหรือสิกขาบท 
              ก่อนที่พระภิกษุจะทำความผิดให้เกิดขึ้น แต่กลับทรงบัญญัติพระวินัยหรือสิกขาบทในภายหลัง? 
           | 
         
       
      
     | 
                
  | 
            
            
                
  | 
                                                   
                    
      
         
        
                                
  | 
                                ตอบ
  | 
                                
          
                   ถ้าพระพุทธองค์จะทรงบัญญัติพระวินัยไว้ก่อน 
              กุลบุตรกุลธิดาจะพากันคิดว่า พระองค์ทรงห้ามไปเสียหมดจนจะเหยียดแขนเหยียดขาไม่ได้ 
              แล้วไม่กล้ามาบวช พระพุทธองค์จึงรอให้ภิกษุ ภิกษุณี ทำผิดเสียก่อนแล้วจึงบัญญัติสิกขาบท 
              เพื่อให้เหล่าภิกษุสงฆ์เห็นเหตุ เห็นผล เห็นโทษ และเป็นประเพณีของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ย่อมบัญญัติสิกขาบทเมื่อมีเหตุเสียก่อน 
             
           | 
                             
                                                                                
                     
                     
                 | 
                    
  | 
            
            
                
  | 
                
     
       ๑๑. เพราะเหตุใดสามเณรจึงมีศีลเพียงแค่ ๑๐ ข้อ แต่พระภิกษุกลับมีศีลทั้งหมด 
        ๒๒๗ ข้อ? 
       | 
                
  | 
            
            
                
  | 
                
                    
      
         
         
           
           | 
          ตอบ 
           | 
           
            
               
                |  
                  
                 | 
                 
                         เหตุที่สามเณรถือศีล 
                    ๑๐ เพราะสามเณรยังเด็กอยู่ โดยทั่วไปเด็กๆย่อมมีความหวั่นไหวง่าย 
                    ความมั่นคงยังมีไม่พอ แต่ศีล ๑๐ หรือศีล ๘ ก็บรรลุอรหันต์ได้เช่นกัน 
                     
                    ส่วนพระภิกษุต้องมีศีล ๒๒๗ ข้อ เพราะเป็นผู้ใหญ่ เป็นผู้บรรลุนิติภาวะ 
                    เป็นผู้รู้เดียงสา รับผิดชอบตัวเองได้แล้ว จึงต้องถือศีลอย่างเต็มที่ 
                    และเพื่อเป็นความงดงามของหมู่สงฆ์ เพื่อเป็นที่น่าเลื่อมใสแก่ผู้พบเห็น 
                 | 
               
             
           | 
         
         
       
                
      
        
          
            
              
                 
                  ๑๒. การบวชเป็นพระภิกษุได้ จะต้องมีอายุเท่าไร และมีข้อยกเว้นอะไรบ้าง? | 
               
             
            
           | 
         
       
      
         
         
           
           | 
          ตอบ 
           | 
           
            
              
                
                  ผู้ที่จะบวชเป็นพระภิกษุต้องมีอายุครบ 
                    ๒๐ ปีบริบูรณ์ และมีกฎเกณฑ์ดังนี้ 
                    ๑.ได้รับความเห็นชอบจากบิดามารดา บุตรภรรยา หรือผู้ปกครองแล้ว 
                    ๒.ไม่มีหนี้สิน                                            ๓.ไม่หนีราชการ 
                    ๔.ไม่มีคดีติดตัว                                        ๕.ไม่เป็นโรคที่สังคมรังเกียจ 
                    ๖.ไม่เป็นปราชิกในการบวชคราวก่อน          ๗.มีอวัยวะครบ 
                    ๓๒ บริบูรณ์ 
                    ๘.ไม่เป็นกะเทยหรือคนสองเพศ                 ๙.ท่องคำขานนาคได้ 
                     
                    ๑๐.มีเครื่องบริขาร ๘ อย่าง 
                   | 
                    | 
                 
               
              
             
           | 
         
         
       
       
      
        
          | ๑๓. ชายไทยทุกคนที่นับถือศาสนาพุทธ เมื่ออายุครบตามข้อ 
            ๙ จำเป็นหรือไม่ที่จะต้องบวชตามประเพณี? | 
         
       
      
         
         
           
           | 
          ตอบ 
           | 
           
                   ประเพณีการบวชเป็นสิ่งที่ดี 
              ทำให้คนได้มาสัมผัสกับการประพฤติพรหมจรรย์ ถ้ามีศรัทธา หมั่นศึกษาและประพฤติปฏิบัติธรรม 
              ย่อมเกิดบุญเกิดอานิสงส์ ถ้าไม่มีศรัทธา ไม่ประพฤติปฏิบัติ ย่อมไม่ได้บุญ 
              ไม่ได้อานิสงส์ 
           | 
         
         
       
       
      
        
          | 
             ๑๔. ถ้า นาย ก.มอบสิ่งของให้กับ นาย ข. รับไว้ และนาย 
              ข. นำสิ่งของที่ได้รับไว้ไปทำบุญกับพระภิกษุ ถามว่าเขาทั้งสองจะได้รับอานิสงค์ของบุญเท่ากันหรือไม่? 
           | 
         
       
      
         
         
           
           | 
          ตอบ 
           | 
           
                   นาย ข. ได้บุญมากกว่า 
              นาย ก. แต่ถ้านาย ก. รู้ว่านาย ข. นำสิ่งของนั้นไปทำบุญกับพระภิกษุ 
              แล้วมีความยินดีด้วย ย่อมได้บุญมากกว่านาย ข. เพราะนาย ก.เป็นเจ้าของทรัพย์ 
              ถ้านาย ก.ไม่ยินดีการกระทำของนาย ข. นาย ก.ย่อมได้บุญน้อยกว่า 
           | 
         
         
       
     | 
            
  |