๑. ทำไมพระภิกษุจึงต้องออกธุดงค์? และการธุดงค์เปรียบเสมือนการจาริกแสวงบุญเหมือนกับศาสนาบางศาสนาใช่หรือไม่?


  ตอบ
คำว่า ธุดงค์ มาจากคำว่า “ธุตงฺค”(ดุตังคะ) ความจริงคนไทยโบราณเอาคำนี้มาจากภาษาบาลี และต้องการให้คนไทยอ่านตามภาษาบาลี แต่เมื่อเขียนแบบบาลีเพื่อรักษาของเดิมไว้ คนไทยอ่านไม่ได้ เพราะภาษาบาลีไม่มีสระ ะ และมีเครื่องหมายอื่นที่แตกต่างจากภาษาไทย พระภิกษุที่มีการศึกษาย่อมอ่านถูกต้อง แต่ชาวบ้านทั่วไปไม่รู้จึงอ่านว่า “ธุตง” แล้วเพี้ยนมาเป็น ธุดงค์ ในที่สุด แล้วก็เลยตามเลย ผู้ไม่รู้ความหมายเข้าใจว่าคือ การเดินดง เดินป่า เป็นการเข้าใจที่ผิด ธุตงฺค คือการปฏิบัติเพื่อขูดเกลากิเลส พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ในพระสูตรต่างๆ พระสูตรละสี่ข้อบ้าง ห้าข้อบ้าง และหกข้อบ้าง เมื่อนำหลายๆพระสูตรมารวมกันจึงได้เป็น ๑๓ ข้อคือ:-

  ๑. ใช้ผ้าบังสุกุล (เศษผ้าที่เขาทิ้ง)
๓. บิณฑบาตเลี้ยงชีพ
๕. ฉันอาหารวันละมื้อเดียว
๗. ลงมือฉันแล้วจะไม่รับอีก
๙. อยู่โคนต้นไม้
๑๑. อยู่ป่าช้า
๑๓. ไม่นอน
๒. ใช้ผ้า ๓ ผืน
๔. บิณฑบาตตามลำดับบ้าน
๖. ฉันเฉพาะอาหารในบาตร
๘. อยู่ป่า
๑๐. อยู่กลางแจ้ง
๑๒. อยู่ในที่ตามมีตามได้


 
แต่ละข้อล้วนดีงาม ควรแก่อริยะสาวกผู้แสวงหาทางพ้นกิเลสพ้นทุกข์ เป็นที่น่าเลื่อมใสน่าศรัทธา ผู้ที่ปฏิบัติได้ย่อมได้ชื่อว่าเป็นบุคคลพิเศษ มีศรัทธาแรงกล้า มีความเพียรแรงกล้า มีปัญญาเห็นคุณค่า การปฏิบัติคือ ทำเป็นนิจเป็นประจำ ไม่ใช่ทำชั่วครั้งชั่วคราว ส่วนการจาริกแสวงบุญนั้น คือ การไปเที่ยวชมและเคารพบูชา ด้วยศรัทธาต่อสถานที่สำคัญของศาสนา ถ้าเป็นชาวพุทธก็ไปชมไปเคารพบูชาสถานที่ประสูติ สถานที่ตรัสรู้ สถานที่แสดงปฐมเทศนา และสถานที่ปรินิพพานของพระพุทธเจ้าเป็นต้น


๒. พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติให้พระธุดงค์ต้องฉันยาดองน้ำมูตรเน่าไว้จริงหรือไม่? เพราะเหตุไรจึงทรงบัญญัติเช่นนั้น?




ตอบ
พระภิกษุทุกรูปเมื่อบวชแล้วจะต้องถือ นิสสัย ๔ คือ ปัจจัยเครื่องอาศัยของบรรพชิต นักพรต นักบวช ฤาษี โยคี ฯลฯ. ซึ่งเป็นปัจจัยที่หาได้ง่ายไม่ต้องทำให้ใครเดือดร้อน
ได้แก่
๑. นุ่งห่มผ้าบังสุกุล
๒. บิณฑบาต
๓. อยู่ตามโคนต้นไม้
๔. เมื่อป่วยไข้ก็ฉันยาดองมูตรเน่า

     ยาดองมูตรเน่า คือ น้ำปัสสาวะเปล่าๆ หรือใส่ผลสมอบ้าง ขิงบ้างข่าบ้าง ซึ่งเป็นสมุนไพรทั่วไป ที่หาได้ง่ายแล้ว นำมา หมักไว้ สามารถดื่มแก้โรคได้หลายอย่าง ถ้าเป็นโรคร้ายแรง พระพุทธองค์ทรงให้เจริญโพชฌงค์ ๗ คือการปฏิบัติธรรม จนถึงที่สุด ถ้ามีศรัทธาแรงกล้า จิตเป็นสมาธิ แก่กล้าย่อมเป็น ธรรมโอสถ หายจากโรคได้

 


๓. บั้งไฟพญานาคที่เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เกิดขึ้นประจำทุกปีในวันออกพรรษาขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๑๑ โดยมีความเชื่อว่าลูกไฟที่ปรากฏนั้นเกิดจากอิทธิฤทธิ์ของพญานาคที่บูชาพระพุทธเจ้านั้นจริงหรือไม่? และพญานาคมีจริงหรือ?




ตอบ
เรื่องนี้มีผู้ถกเถียงกันมาก แบ่งตามความเชื่อได้เป็น ๓ พวกดังนี้
พญากาฬนาคราชนอนเฝ้าถาดทองเสี่ยงทายที่พระพุทธเจ้าทั้ง ๔ พระองค์ ทรงฉันข้าวมธุปายาส และยังมีถาดอีกใบหนึ่งของพระเมตเตยยะพุทธเจ้า ที่จะมาตรัสรู้ในอนาคตของภัททะกัปนี้ ณ.ใต้แม่น้ำเนรัญชรา โดยถาดทองของพระพุทธเจ้าองค์หลังจะลงไปซ้อนใต้ถาดทองของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ แต่ในภาพนี้ช่างวาดผิด

๑. นักนึกนักคิด เชื่อว่ามีคนไปแอบจุดบั้งไฟ จุดพลุ หรือยิงปืน
๒. นักวิทยาศาสตร์ เชื่อว่าเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เกิดมีกรด
     มีแก๊สบางชนิด ลอยขึ้นมาแล้วแล้วทำปฏิกิริยากับธาตุเบาบางชนิด
     แล้วเกิดเป็นลูกไฟขึ้น
๓. ชาวบ้านและผู้มีศรัทธา เชื่อสืบทอดกันมาว่า พญานาคที่อาศัยอยู่ใน     พิภพนาคใต้แม่น้ำโขง จุดบั้งไฟบูชาพระรัตนตรัย

  • ในข้อแรก ถ้ามีคนไปแอบจุดบั้งไฟ จุดพลุหรือยิงปืน ย่อมเกิดเสียงระเบิดและจะไปจุดในน้ำได้อย่างไร? ของจริงนั้นพุ่งขึ้นจากกลางแม่น้ำและไม่มีเสียงระเบิด
  • ในข้อที่สอง ถ้าเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ย่อมเกิดวันใดก็ได้ เมื่อใดก็ได้ หรือที่ไหนก็ได้ แต่นี่จะเกิดเฉพาะวันออกพรรษา ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ เท่านั้น วันอื่นไม่เกิด
  • เมื่อสองข้อที่กล่าวมานั้นเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นในข้อที่ ๓ ก็น่าพิจารณา ถ้าพญานาคไม่มีแล้วเหตุการณ์ในลักษณะนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?? พระพุทธเจ้าทรงตรัสเรื่องพญานาคไว้มากมายในพระไตรปิฎก!!


๔. จากข้อ ๓ ถ้าพญานาคมีจริง เปรียบเทียบพญานาคกับมนุษย์ ใครมีบุญมากกว่ากัน?




ตอบ
พระพุทธเจ้าทรงตรัสเรื่องนาคไว้ดังนี้:-
    “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กำเนิดของนาคมี ๔ จำพวกคือ เกิดจากไข่๑, เกิดจากครรภ์๑, เกิดจากที่ชื้นแฉะ๑, และเกิดจากการผุดเกิด(โอปะปาติกะ)๑ นาคทั้ง ๔ จำพวกนี้ จะมีความประณีตแตกต่างกันตามลำดับ โดยนาคจำพวกที่ผุดเกิดประณีตที่สุด”
     “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกนาคมีความคิดว่า เมื่อก่อนเราทำกรรมทั้งสอง (สุจริตและทุจริต) ด้วยกาย วาจา ใจ เมื่อตายไปจึงเข้าถึงความเป็นสหายของพวกนาค พวกใดพวกหนึ่งใน ๔ จำพวก ถ้าพวกเราประพฤติสุจริตด้วย กาย วาจา ใจ เมื่อพวกเราตายไปจะเข้าถึงสุคติสวรรค์ เชิญพวกเรามาประพฤติสุจริตด้วยกาย วาจา ใจ กันเถิด”
     “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้กระทำกรรมทั้งสอง (สุจริตและทุจริต) ด้วยกาย วาจา ใจ เขาได้ฟังมาว่า พวกนาคมีอายุยืน มีผิวพรรณงาม มีความสุขมาก เขามีความปรารถนาว่า เมื่อตายไปขอเราจงเข้าถึงความเป็นสหายของพวกนาคเกิดจากไข่ ( ....เกิดจากครรภ์, ....เกิดจากที่ชื้นแฉะ, ....เกิดโดยผุดเกิด)เถิด เขาจึงให้ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ของหอม เครื่องสำอาง ที่นั่งที่นอน ที่พักอาศัย และอุปกรณ์แสงสว่าง เมื่อเขาตายไปย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของพวกนาคจำพวกเกิดจากไข่ ( ....เกิดจากครรภ์, ....เกิดจากที่ชื้นแฉะ, ....เกิดโดยผุดเกิด)”

                           (พระไตรปิฎก นาคสังยุต เล่ม ๑๗ หน้า ๒๘๖)

พระพุทธเจ้าทรงให้พระมหาโมคคัลลานะ ไปทรมานนันโทปะนันทะนาคราช
     นาค ๔ จำพวกนั้น พวกที่ผุดเกิดหมายถึง พญานาค เป็นพวกที่มีกายทิพย์ มีอายุยืน มีผิวพรรณงาม เสวยสุขในทิพย์สมบัติ มีฤทธิ์มากมีอานุภาพมาก สามารถเนรมิตกายเป็นมนุษย์ได้ อาศัยอยู่ในพิภพนาคใต้บาดาล (ใต้แม่น้ำต่างๆ) พญานาคชนิดนี้จึงมีบุญมากกว่ามนุษย์ แต่ในพิภพนาคไม่อาจจะประพฤติพรหมจรรย์ได้ เพราะมากล้นไปด้วยกามคุณ ๕ ดุจเทวดา ดังนั้นพระโพธิสัตว์เมื่อเกิดเป็นพญานาค จึงต้องขึ้นจากพิภพนาคมาประพฤติพรหมจรรย์บนโลกมนุษย์ หรืออธิษฐานให้เกิดเป็นมนุษย์เพื่อจะได้ประพฤติพรหมจรรย์
     เรื่องของพญานาค พระพุทธเจ้าตรัสไว้มากในพระไตรปิฎก จะยกมาเป็นตัวอย่างเพียงเล็กน้อย ดังนี้:-
      พระพุทธเจ้า ของเราเมื่อยังสร้างบารมีในอดีตชาติ เคยเสวยพระชาติเป็นพญานาคหลายครั้ง เช่น จัมเปยยะนาคราช, ทัททระนาคราช, ปัณฑระกะนาคราช, และภูริทัตนาคราช เป็นต้น
ในสัปดาห์ที่ ๖ หลังจากพระพุทธเจ้าตรัสรู้ใหม่ๆ พระองค์ทรงประทับ นั่งอยู่ใต้ต้นอัชปาละนิโครธ ขณะนั้นเกิดฝนตกและมีพายุแรง พญานาค มุจลินท์ ได้ขึ้นมาจากสระมุจลินท์ มาขนดกายรอบพระองค์ ๗ รอบ และแผ่พังพานปิดด้านบนเหนือพระเศียรเพื่อปกป้อง ลม ฝน เหลือบ ยุง แก่พระองค์ครบ ๗ วัน จนฝนและพายุหมดแล้ว พญานาคมุจลินท์ จึงได้เนรมิตกายเป็นชายหนุ่มยืนไหว้พระองค์อยู่
     อีกเรื่องหนึ่ง มีพญานาคตนหนึ่งอยากบวชเป็นพระภิกษุ จึงเนรมิตกาย เป็นมนุษย์แล้วมาขอบวชกับพระภิกษุสงฆ์ เมื่อบวชแล้ววันหนึ่งนอน หลับเผลอสติ ร่างจึงกลับกลายเป็นพญานาคนอนเหยียดยาวอยู่ในกุฏิ พระภิกษุ ทั้งหลายเห็นแล้วตกใจกลัวจึงพากันไปกราบทูลพระพุทธเจ้า พระองค์ ทรงตรัสเรียกพญานาคตนนั้นเข้าเฝ้าแล้วตรัสห้ามพญานาค บวชเป็น พระภิกษุ พญานาคตนนั้นได้กราบทูลพระพุทธเจ้าว่า “ถ้าพระองค์ห้ามพญานาคบวชก็ไม่เป็นไร แต่ขอให้พระองค์จงทรง ให้เรียกผู้ที่จะบวชเป็นพระภิกษุว่า นาค เถิดพระเจ้าข้า” พระพุทธเจ้า ก็ทรงตรัสให้พระภิกษุทั้งหลายเรียกผู้ที่จะบวชว่า นาค ตั้งแต่นั้น เป็นต้นมา
    มุจจลินท์นาคราช ขนดกายปกป้องลมฝน ให้พระพุทธเจ้าภายหลังตรัสรู้ในสัปดาห์ที่๖
     เป็นที่น่าสลดใจ เมื่อเปิดพจนานุกรมพุทธศาสน์ ซึ่งเขียนโดยพระภิกษุผู้มีชื่อเสียงที่ใครๆยกย่องว่าเป็นปราชญ์แห่งพระพุทธศาสนาองค์หนึ่ง ท่านกล่าวเรื่องนาคไว้ดังนี้ “นาค คือ งูใหญ่ในนิยาย, ช้าง, ผู้ประเสริฐ, ใช้เป็นคำเรียกคนที่กำลังจะบวชด้วย” ท่านกล่าวไว้แค่นี้ เมื่อพระศาสดาตรัสเป็นหลักเป็นฐานไว้มากมายในพระไตรปิฎกเช่นนี้ ท่านยังกล่าวว่า “นาค คือ งูใหญ่ในนิยาย” ท่านย่อมได้ชื่อว่า กล่าวตู่พระพุทธพจน์ คัดค้านพระธรรมวินัย ลบล้างพระธรรมวินัย

    ในปัจจุบันนี้ มีนักปราชญ์ผู้ที่มีชื่อเสียงแต่มีศรัทธาน้อย ไม่ละอาย เป็นปุถุชนแท้ๆเช่นนี้จำนวนมาก มักกล่าวสิ่งที่ตนมองไม่เห็นเพราะไม่มีคุณวิเศษที่จะได้เห็น และเพราะไม่มีความเชื่อในพระศาสดาจึงกล่าวว่า สิ่งนั้นไม่มีหรือเป็นเรื่องนิยาย เปรียบเสมือนคนตาบอด โดยกำเนิดไม่เคยเห็นดวงอาทิตย์ เมื่อมีคนพูดเรื่องดวงอาทิตย์เขาก็กล่าวว่า   “ดวงอาทิตย์ไม่มีดอก เป็นเพียงเรื่องนิยาย”
    พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ และบุคคล ภายนอกไม่อาจทำให้พระธรรมวินัยนี้เสื่อมได้ แต่พวกโมฆะบุรุษ (คนเปล่า,คนไม่เอาไหน)คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ในพระธรรมวินัย นี้เองที่ทำให้เสื่อม” ดังนั้นผู้ศึกษา ค้นคว้าจากตำราข้างนอกควรนำมาเทียบเคียง ตรวจสอบกับพระไตรปิฎกก่อนถ้าลงกับพระไตรปิฎก ไม่ได้ก็ ให้ละทิ้งเสีย

     ทรงรับนิมนต์เสวยภัตตาหาร
ที่บ้านนายจุนทะ



๕. ทำไมพระธุดงค์จึงฉันอาหารในบาตร? วิธีการฉันอาหารอย่างไรจึงจะถูกต้อง?




ตอบ
    ไม่ใช่พระภิกษุผู้ถือธุดงค์วัตรเท่านั้นที่ฉันอาหารโดยใช้บาตรเป็นภาชนะ แต่พระภิกษุ-สามเณรทุกองค์ต้องทำเหมือนกัน เพราะบาตรเป็นภาชนะพิเศษ เป็นภาชนะศักดิ์สิทธิ์ของบรรพชิต นักพรต นักบวช พระภิกษุ สามเณร และผู้ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย บาตรเป็นภาชนะที่พระบรมศาสดาทรงประทานแก่สาวกของพระองค์ดังนั้นพระภิกษุสามเณรควรภาคภูมิใจที่ได้ฉันอาหารโดย ใช้บาตรเป็นภาชนะ และไม่ควรใช้จาน ชาม ซึ่งเป็นภาชนะของชาวบ้านผู้บริโภคกาม
    การฉันอาหารที่อยู่ในบาตร คือ เอาอาหารทุกอย่างทั้งคาวทั้งหวานใส่รวมปนในบาตรที่เดียวโดยไม่ใช้ภาชนะอื่น เพื่อเป็นการขูดเกลากิเลส เป็นการปิดกั้นความโลภในอาหารอื่นอีก เป็นการปิดกั้นตัณหาในการแยกความอร่อยของชนิดอาหาร




 
หน้าแรก I ประวัติหลวงพ่อเกษตร I วัดเขาหินเทิน I ภาพกิจกรรมวัดเขาหินเทิน I ธรรมะโดยหลวงพ่อเกษตร I กระดานกระทู้ธรรม I ติดต่อกับเรา
Copyright © 2003 Wat Khaohinturn All rights reserved
Designed & Managed by : flmonline.net