|
|
๑. บุคคลแต่ละวัยควรมีแนวทางการดำเนินชีวิตที่ดีงามอย่างไร
ในพระพุทธศาสนา? |
|
ตอบ
|
ผู้สูงวัยควรมี ศรัทธา, ศีล,
รู้จักตักบาตร, ทำบุญ และรู้จักพาเด็กไปวัด เพื่อเป็นตัวอย่าง
ผู้เยาว์ควรประพฤติปฏิบัติตามตัวอย่างที่ดีของผู้ใหญ่ และควรมี
ศรัทธา, ศีล, และรู้จักตักบาตรทำบุญ |
|
|
๒. เหตุที่คนในปัจจุบัน
โดยเฉพาะคนวัยรุ่นหนุ่มสาว หลงใหลไปตามกระแสวัตถุนิยมอย่างรุนแรง
เป็นเพราะอะไร และจะแก้ไขอย่างไร? |
|
ตอบ
|
เพราะเขาไม่รู้จักแยกแยะว่า
ส่วนไหนเป็นคุณ ส่วนไหนเป็นโทษ ไม่รู้จักเหตุ ไม่รู้จักผล เป็นธรรมดาของคนวัยรุ่น
วันคะนอง มักอยากรู้อยากลอง อยากได้ มีอารมณ์ชั่ววูบ และเห่อตามเขา
วิธีแก้ คนวัยรุ่นควรศึกษาให้เห็นคุณและโทษ ของสิ่งฟุ้งเฟ้อเหล่านั้น
ว่าเป็นของชั่วครู่ชั่วยาม เดี๋ยวก็หมดสมัย เดี๋ยวก็เบื่อ อุตส่าห์ซื้อหามาด้วยราคาแพงๆ
ถึงบทหมดความนิยมก็โยนทิ้งง่ายๆ ถึงบทเบื่อแล้วก็โยนทิ้งง่ายๆ |
|
|
|
|
๓. ชื่อว่าเป็นชาวพุทธ
อย่างน้อยที่สุดควรปฏิบัติอย่างไร? |
|
ตอบ |
ควรมีศรัทธาใน พระพุทธ พระธรรม
พระสงฆ์ มีศีล๕ รู้จักให้ทาน และรู้จักตักบาตร |
|
|
๔. หากบุคคลไม่เชื่อว่ามีพระพุทธเจ้า
ไม่เชื่อหลักคำสอนคือพระธรรม ถือปฏิบัติตามความเชื่อ ความคิดเห็นของตนเอง
หรือเชื่อบุคคลอื่นนอกพระศาสนา จะส่งผลต่อชีวิตและสังคมอย่างไร? |
|
ตอบ |
ผู้นั้นย่อมหลงเพ้อไปตามกิเลสตัณหา
ขาดสติ ไม่รู้จักดีชั่ว เป็นผู้ไร้ศีลธรรม แล้วย่อมพบกับความเสื่อม
อับโชค เศร้าโศก และทำให้สังคมวุ่นวายด้วยการเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น |
|
|
๕. ถ้าคนหนุ่มคนสาวหันมาสนใจหันมาสนใจหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า
แล้วยึดถือเป็นแนวทางการดำเนินชีวิต จะทำให้จิตใจและชีวิต มีความเป็นอยู่ของตนประเสริฐขึ้นจริงหรือ? |
|
ตอบ |
พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า "ธรรมะย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรมะ"
และ "ผู้มีธรรมะย่อมเจริญ ผู้ไม่มีธรรมะย่อมเสื่อม"
ลองศึกษาประวัติชีวิตของบุคคลผู้ประสพความสำเร็จ มีชื่อเสียง ร่ำรวยเป็นเศรษฐี
มักเป็นผู้มีศรัทธา มีศีล มีระเบียบวินัย มีการฝึกตน มีความโอบอ้อมอารี
เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ทั้งนั้น ส่วนผู้ไม่มีศรัทธา ไม่มีศีล ไม่มีระเบียบวินัย
ไม่มีการฝึกตน มีความเห็นแก่ตน คิดเอาแต่ได้ ไม่คิดให้อะไรแก่ใครๆ
ก็เห็นมีแต่พวกโจร พวกคนต้องโทษในตะรางนั่นเอง
|
|
|
๖. จากที่ได้ฟังการสวดมนต์ก็ดี
การนั่งฟังพระสวดก็ดี และรวมถึงสังเกตุผู้อื่นที่มาฟังสวด และบางครั้งไปสอบถามคนที่สวดมนต์
ฟังสวด พบว่าส่วนใหญ่ไม่มีใครรู้ความหมายของคำสวดหรือคาถาที่สวด
นั่นก็คือฟังไปให้ผ่านๆจบพิธีไปเท่านั้น แล้วอย่างนี้ผู้ฟังสวดหรือผู้สวดเองจะได้ประโยชน์อะไร?
แล้วจะนำไปปฏิบัติหรือฟังให้เข้าใจในการสั่งสอนของพระพุทธเจ้าหรือพระเกจิต่างๆได้อย่างไร?
(คำถามจาก คุณมนัส)
|
|
|
ตอบ |
ยังพอมีประโยชน์อยู่บ้าง
ที่มีศรัทธาทนฟัง |
|
|
|
|
|
๗. การสวดมนต์ที่ฟังไม่รู้เรื่องจะได้กุศลอะไรหรือไม่
? (คำถามจาก คุณมนัส) |
|
ตอบ |
ยังพอได้กุศลอยู่บ้าง ที่มีศรัทธาทนฟัง
|
|
|
๘. เมื่อคนฟังไม่ทราบความหมายของบทสวดมนต์ทำให้เกิดความเบื่อหน่ายในการเข้าวัดหันไปทางอบายมุข
ในทางพุทธศาสนาจะแก้ไขอย่างไรเพื่อชักจูงพุทธศาสนิกชนมาร่วมฟังธรรม?
(คำถามจาก คุณมนัส)
|
|
|
ตอบ |
พระภิกษุหรือผู้รู้ธรรมะ
ควรประกาศพระศาสนาทางสื่อต่างๆ เช่น วิทยุ โทรทัศน์ อินเตอร์เนต
ทำหนังสือธรรมะออกเผยแพร่ หรือจัดกิจกรรมเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาในวันสำคัญต่างๆ |
|
|
|
|
|
|
๙. ทำไมทางวัดไม่ทำบทสวดมนต์ที่มีคำแปลแจกจ่ายให้คนที่มาวัดได้นำไปอ่านที่บ้าน
เมื่อครั้งหน้าจะมาอีกก็จะสวดได้หรือฟังเข้าใจ เอาปัจจัยที่ได้มาสร้างหนังสือธรรมะและความหมายของบทสวดมนต์
แต่ไปเน้นทางวัตถุต่างๆ ? (คำถามจาก คุณมนัส) |
|
ตอบ |
ในปัจจุบันมีหลายวัด ทำบทสวดมนต์แปลและทำหนังสือธรรมะออกเผยแพร่อยู่
|
|
|
๑๐. พระภิกษุไปเดินขบวนประท้วงทางการเมืองร่วมกับชาวบ้าน
ตามข่าวหนังสือพิมพ์ได้หรือไม่?
|
|
|
ตอบ |
พระภิกษุจะไปเดินขบวนประท้วงทางการบ้าน
หรือการเมือง ฯลฯ. ไม่เหมาะ ไม่สมควรด้วยประการทั้งปวง แม้แต่การพูดเรื่องโลกๆ
เช่น เรื่องรถ, เรือ, บ้าน, เมือง, พระราชา, โจร เป็นต้น พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นเดรัจฉานกถา
พระภิกษุไม่ควรพูด แม้แต่เรื่องการเมือง หรือเรื่องโลกๆ พระพุทธเจ้ายังทรงห้าม
จะกล่าวไปใยถึงการเดินไปประท้วง หรือนั่งประท้วง เพราะพระภิกษุเป็นผู้เห็นโทษในโลก
เห็นความไร้สาระของโลก เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อไปเสียให้พ้นจากโลกอยู่แล้วู่ |
|
|
|
|
|
|
|