๑.พระภิกษุ สามเณร และแม่ชี เดินตามห้างสรรพสินค้าเหมาะสมหรือไม่?



ตอบ
ห้างสรรพสินค้าใหญ่โต   เช่น   ห้างเซ็นทรัล   ห้างบิ๊กซี  เป็นต้น   ห้างเหล่านี้เป็นห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ ทันสมัยหรูหรา   มีสินค้าฟุ่มเฟือยตามกิเลสตัณหาของผู้ครองเรือน  มักเป็นที่ๆมีผู้คนพลุกพล่าน   เหมือนแหล่งบันเทิง   เป็นสถานที่ อโคจรของพระภิกษุ สามเณร แม่ชี หรือนักพรตนักบวชผู้ทรงศีล  หากมีความจำเป็นจะซื้อของเพื่อเอาไปใช้ในกิจการพระศาสนา   ควรไปหาซื้อจากร้านค้าธรรมดาทั่วๆไป   ที่ไม่มีคนพลุกพล่าน หรือฝากคฤหัสถ์ไปซื้อจะเหมาะสมกว่า
 
 
๒. พระภิกษุ สามเณร หรือแม่ชี ซื้อหวยซื้อลอตเตอรี่เหมาะสมหรือไม่?
  ตอบ

หวยและลอตเตอรี่ เป็นการพนัน เป็นอบายมุข   เป็นสิ่งมอมเมา   เป็น  ไปเพื่อความโลภ   อยากมั่งอยากมี เป็นสิ่งต้องห้ามของสัตตะบุรุษ   เป็นสิ่งต้องห้ามของผู้มีศีลธรรม

     พระภิกษุสามเณรและแม่ชี คือผู้แสวงหาสัจจะธรรม   แสวงหาทางพ้นกิเลสพ้นทุกข์ไม่ควรเข้าไปข้องแวะ เพราะน่ารังเกียจน่าติเตียน


๓. พระภิกษุใบ้หวย ให้หวยได้หรือไม่?




ตอบ

เมื่อหวยก็ดี ลอตเตอรี่ก็ดี เป็นการพนัน เป็นสิ่งต้องห้ามของผู้มีศีล ดังนั้นพระภิกษุจึงไม่ควรให้เพราะเป็นการส่งเสริมให้คนมัวเมาในอบายมุข

  • ถ้าพระภิกษุให้หวยถูก พระภิกษุนั้นได้ชื่อว่าผิดพระวินัย เพราะการทำนายทายทักเป็นเดรัจฉานวิชชา
  • ถ้าพระภิกษุนั้นให้หวยผิด พระภิกษุนั้นได้ชื่อว่าต้องอาบัติปราชิก (ขาดจากความเป็นพระภิกษุ) เพราะอวดคุณวิเศษที่ไม่มีจริงในตน


๔. พระภิกษุเลี้ยงนกสวยงามในกรงบ้าง เลี้ยงสัตว์ป่า สัตว์ดุร้ายบ้าง เช่น นกยูง เสือ หมี ฯลฯ. ได้หรือไม่?




ตอบ
 การรับสัตว์เลี้ยง เช่น ช้าง ม้า วัว ควาย แพะ แกะ ไก่ เป็นต้น ก็ผิดพระวินัยอยู่แล้ว ดังนั้นการเลี้ยงสัตว์สวยงาม หรือสัตว์ป่า สัตว์ดุร้าย ดังกล่าวยิ่งไม่สมควร เป็นสิ่งที่น่าติเตียนเพราะเป็นของเล่น เป็นความยุ่งยาก เป็นภาระและเป็นอุปสรรคต่อการประพฤติพรหมจรรย์ อาจมีสัตว์บางจำพวก เช่น สุนัข แมว นก กา กระรอก กระแต ฯลฯ. ที่มักมาเองไปเอง โดยไม่ต้องไปซื้อหามา เมื่อมีเศษอาหารก็สงเคราะห์ให้มันกินไป
     


๕. พระภิกษุรับเด็กกำพร้ามาเลี้ยง เหมาะสมหรือไม่?




ตอบ

 ไม่เหมาะไม่ควร เพราะผิดพระวินัย คือ การรับสตรี กุมาร และกุมารี ทำให้เป็นภาระ เป็นความยุ่งยาก เป็นอาการของพ่อบ้านที่ยังยินดีอยู่กับพวกเด็กๆ เมื่อได้จับเนื้อต้องตัวกับเด็กชายบ้าง เด็กหญิงบ้าง ย่อมทำให้เกิดความกำหนัดยินดี ทำให้เกิดความรักความผูกพัน เป็นพันธนาการที่เป็นอุปสรรคต่อการประพฤติพรหมจรรย์
เกิดปัญหาเกิดภาระ คือ ต้องทำเสื้อผ้า ข้าวของ เครื่องใช้เป็นอันมากเพื่อมาบำรุงบำเรอ ต้องส่งให้เล่าเรียน แต่ถ้าจะสงเคราะห์เด็กเหล่านั้น ถ้าเป็นเด็กชายก็ควรให้บวชเป็นสามเณร ถ้าเป็นเด็กหญิงก็ควรให้บวชชี ซึ่งเขาสามารถบิณฑบาตเลี้ยงตนเองได้ สอนให้เขาเจริญสมาธิ-วิปัสสนา ปฏิบัติธรรม แสวงหาทางพระนิพพานเลยทีเดียว จะเป็นสิ่งที่มนุษย์และเทวดาสรรเสริญ

    แต่ก่อนให้การบวช   ควรถามความสมัครใจเสียก่อน  ว่าจะประพฤติปฏิบัติพรหมจรรย์ได้หรือไม่  ถ้าไม่ได้ก็ไม่ควรให้บวช และเมื่อบวชแล้วก็ไม่ควรส่งเสริมให้เขาเรียนทางโลก    เช่น ป.๔ – ม.๖    เพราะการเรียนทางโลกต้องใช้ทุนมาก และเป็นไปเพื่อการลาสิกขาออกไปประกอบอาชีพและครองเรือน ถ้าต้องการมุ่งไปในทางโลกก็ควรส่งไปให้หน่วยงานสงเคราะห์ของทางโลกจึงจะถูกต้อง

     
 



๖.มีบางวัดสอนวิชาเล่นลิเก สมควรหรือไม่?




ตอบ
ลิเกเป็นมหรสพ  เป็นความบันเทิงชนิดหนึ่ง  ย่อมมีบทรักบทโศก   มีบทพิศวาสเกี้ยวพาราศี มีบทดีบทร้าย   เป็นสิ่งประโลมโลก ไม่เหมาะไม่ควรแก่สมณะ  ไม่ควรแก่ผู้ประพฤติพรหมจรรย์  การที่สมณะมาสอนวิชาอย่างนี้ ย่อมได้ชื่อว่ามีความยินดีด้วย  ชาวบ้านทั่วไปไม่รู้จักพระธรรมพระวินัยย่อมกล่าวสรรเสริญ   แต่บัณฑิตผู้รู้จักพระธรรมพระวินัยย่อมกล่าวติเตียน



๗. ตาลปัตร มีไว้ทำไม?




ตอบ
 ปัญหาข้อนี้เคยมีพระภิกษุไทยไปอยู่อเมริกา พวกฝรั่งถามว่า “ตาลปัตรมีไว้ทำไม?” พระภิกษุองค์นั้นตอบไม่ได้ แล้วมานินทาที่หลังว่า “พวกฝรั่งนี้บ้า ถามไม่เป็นเรื่อง”!!!
ตาลปัตร คือ พัด หรือพัดวาลวิชนี ซึ่งเป็นพัดหรูหรา สวยงามที่ใช้พัดวีให้กษัตริย์ หรือคนรับใช้พัดวีให้เจ้านาย และพระภิกษุใช้พัดวีให้พระพุทธเจ้าในบางครั้งบางคราว พัดถวายด้วยความรักความศรัทธา ซึ่งพระพุทธเจ้าไม่ทรงติดพระหฤทัย
       พระพุทธเจ้า ไม่ทรงบัญญัติให้พระภิกษุนำตาลปัตรมาใช้ในพิธีกรรมใดๆเลย ในสมัยต่อมา พระภิกษุนำมาถือบังหน้าเวลาให้ศีลให้พรแก่ญาติโยม  หรือถือบังหน้าในเวลาสวดศพ เพื่อให้ดูขลัง และเป็นพิธีการมากขึ้นเท่านั้น และต่อมากษัตริย์ได้ทำเป็นพัดยศถวายแก่พระเถระทั้งหลาย ซึ่งเป็นของประดับ เป็นของเหลวไหลไร้สาระ ไม่มีในพระวินัยบัญญัติ



พัดยศ มีไว้ทำไม?



ตอบ

 พัดยศ  ก็คือ   ตาลปัตรที่กษัตริย์ทำถวายแก่พระเถระ  ที่พระองค์ทรงเลื่อมใสศรัทธา  ในยุคหลังพุทธกาล และในปัจจุบันพัดยศได้ถูกนำไปใช้เพื่อการแสดงสถานะของยศและสมณะศักดิ์ ที่พระภิกษุองค์นั้นได้รับพระราชทาน
     ในสมัยพระพุทธกาล พระพุทธเจ้าไม่เคยให้ยศแก่พระภิกษุ หรือสามเณรรูปใดเลย พระภิกษุสามเณรที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ แล้วบรรลุอริยะมรรค อริยะผล เช่น บรรลุพระโสดาบัน พระสกทาคามี เป็นต้น ย่อมรู้ได้เฉพาะตน ไม่ต้องแสดงแก่ใคร ไม่ต้องบอกไม่ต้องโอ้อวดใคร

    


๙. พระภิกษุสวดพระอภิธรรมในงานศพเป็นเสียงเพลง เหมาะสมหรือไม่?




ตอบ
พระพุทธเจ้ากล่าวโทษของการสวดเป็นทำนองเพลงของพระภิกษุ ๕ ประการคือ
    ๑. ตนเองย่อมกำหนัดในเสียงนั้น
    ๒. ผู้ฟังย่อมกำหนัดในเสียงนั้น
    ๓. ชาวบ้านย่อมติเตียนว่า “สมณะศากยะบุตรพวกนี้ ก็ร้องเพลงเหมือนพวกเรา”
    ๔. เมื่อพระภิกษุผู้สวดพอใจในเสียงนั้น จิตย่อมเสื่อมจากสมาธินั้น
    ๕. พระภิกษุรุ่นหลัง ย่อมถือเอาเป็นแบบอย่าง
                                                                          พระไตรปิฎกเล่ม ๒๒ หน้า ๒๕๖
    ดังนั้นพระภิกษุจึงไม่ควรสวดมนต์เป็นเสียงทำนองเพลง แต่ถ้าคฤหัสถ์จะสวดเป็นเพลง เช่น การสวดทำนองสระภัญญะ ย่อมทำได้เพราะไม่มีข้อห้ามสำหรับคฤหัสถ์



๑๐.พระภิกษุสามเณรบางวัด โดยเฉพาะวัดทางภาคเหนือของประเทศไทย ฉันอาหารเช้า – เพลแล้ว ในเวลาเย็นหรือค่ำยังฉันอาหารอีก และฉันอย่างเปิดเผย ทั้งยังมีญาตินำไปถวายในเวลาค่ำด้วย ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น?



ตอบ
 พระพุทธเจ้าตรัสไว้หลายพระสูตรในพระไตรปิฎกเล่มที่   ๙   ว่า “พระภิกษุฉันอาหารวันละมื้อ งดเว้นการฉันอาหารในเวลาวิกาล (หลังเที่ยง)” แม้ศีล ๘ (อุโบสถศีล)  ของอุบาสก  อุบาสิกา  ก็เช่นกัน
พระพุทธองค์ทรงกล่าวคุณของการฉันอาหารวันละมื้อเดียวว่า “ทำให้มีโรคน้อย กายเบา กระปรี้กระเปร่า มีกำลัง”
      พระภิกษุผู้มีศรัทธาไม่เห็นแก่ปากแก่ท้อง ย่อมทำได้ไม่ยาก
ส่วนพระภิกษุผู้มักมากเท่านั้นที่เห็นแก่ปากแก่ท้อง ไม่ยอมฝึก ไม่ยอมปฏิบัติ จึงฉันวันละหลายมื้อ
      ส่วนพระภิกษุอาพาธ (ป่วย) เกี่ยวกับเรื่องท้อง เช่นโรคกระเพาะอาหาร พระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้ฉันได้ไม่ผิดพระวินัย แต่นั่นหมายถึงก่อนบวชต้องไม่อาพาธ แต่มาอาพาธที่หลังเมื่อบวชไปแล้ว ถ้าก่อนบวชป่วยอยู่ก็ไม่ควรบวช ต้องรักษาให้หายเสียก่อน

 




 
หน้าแรก I ประวัติหลวงพ่อเกษตร I วัดเขาหินเทิน I ภาพกิจกรรมวัดเขาหินเทิน I ธรรมะโดยหลวงพ่อเกษตร I กระดานกระทู้ธรรม I ติดต่อกับเรา
Copyright © 2003 Wat Khaohinturn All rights reserved
Designed & Managed by : flmonline.net